ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ให้ธรรมเป็นทาน

๒๙ มี.ค. ๒๕๕๒

 

ให้ธรรมเป็นทาน
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๒๙ มีนาคม ๒๕๕๒
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เอาละ ไอ้เรื่องประพฤติปฏิบัติ ไอ้เรื่องทำความดี ในสังคมทุกสังคม มีคนดีและคนเลว นี่พูดถึงสังคมข้างนอกนะ คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ เราจะทำอะไรสิ่งใดแล้ว จะให้คนเห็นดีเห็นงามกับเราทั้งหมดเป็นไปไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้านะเวลาท่านสอนน่ะ สอนถึงโลกธรรม เวลาภิกษุมีปัญหาขึ้นมา ท่านบอกเลย

“ภิกษุทั้งหลายให้ดูเราเป็นตัวอย่าง คนที่โดนโลกธรรมรุนแรงที่สุดคือเราตถาคต”

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างบุญญาธิการมา ๔ อสงไขย แสนมหากัปถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านพยากรณ์เอง ว่าท่าน พูดถึงเปรียบกับพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ว่า ท่านอายุสั้น และธรรมะของท่านก็อยู่ในโลกนี้ไม่ยืนยาว ขององค์อื่น ๘๐,๐๐๐ ปี นี่ ๕,๐๐๐ ปีนะ

ถ้าพูดถึง ๘๐,๐๐๐ ปี พระศรีอริยเมตไตรยนี่ ๘๐,๐๐๐ ปี แล้วอยู่ทั้งชีวิต ชีวิตหนึ่ง ๘๐,๐๐๐ ปี พอ ๘๐,๐๐๐ ปี นี่หมดไปพร้อมกับศาสนา แต่ถ้าพูดถึงของเรานะ ของพระพุทธเจ้าเรานะ ถ้า ๘๐ ปี แล้วพระพุทธเจ้าปรินิพพานไป แล้วศาสนานี้หมดไปนะ พวกเราจะไม่เจออะไรเลยล่ะ

นี่ยังดีนะ ๘๐ปี แต่ก็ทรงวางธรรมวินัยไว้เป็น ๕,๐๐๐ ปี นั้น ๘๐,๐๐๐ ปี ใช่ไหม ถ้า ๕,๐๐๐ ปี ศาสนาจะชัดเจนมากในสมัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้ว เราจะไม่ได้อะไรกันเลย ประสาเรานะถ้าไม่ได้อะไรเลย ย้อนกลับไป สมัยกองทัพธรรมเราที่มาภาคอีสาน

กองทัพธรรมมาภาคอีสาน สมัยนั้นคนถือผี เป็นความเชื่อของเรา เราไม่มีที่พึ่ง เราถือผี ได้ไก่มาตัวหนึ่งก็ผ่าซีก ซีกหนึ่งเอาไว้ทำอาหาร อีกซีกหนึ่งต้องไปเซ่นผี ถ้าไม่เซ่นผี เดี๋ยวคิดว่า จะทำให้การกสิกรรมของเรามันจะไม่เรียบร้อย มันจะไม่ดี แล้วฝนฟ้ามันจะไม่ตกต้องตามฤดูกาล

นี่พูดถึง ถ้าไม่มีศาสนา เห็นไหม คนต้องการที่พึ่งอาศัย แต่ก็พึ่งอาศัยไปอย่างนั้นน่ะ ต้องพึ่งอาศัยไปข้างนอก แต่นี้เพราะมีธรรมวินัย แล้วเรามีครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ของเรา หมายถึงว่า จิตวิญญาณที่สร้างบุญญาธิการมา หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์นี่มาบรรลุธรรม มาตรัสรู้ธรรมขึ้นมา แล้ววางธรรมและวินัย

บอกธรรมวินัยตรงไหน ตอนที่ทางอีสานถือผี หลวงปู่สิงห์น่ะเป็นแม่ทัพธรรม ที่ไหนนะมันเป็นป่าเขามาก แล้วมันจะเกิดไข้ป่า พอไข้ป่ารุนแรงใช่ไหม ใครเข้าไปบุกป่าที่ไหนตายหมด

ถ้าทางวิทยาศาสตร์บอกนั่นคือ ไข้ป่า แต่ถ้าทางประเพณีวัฒนธรรม เขาว่าป่านั้นมันเฮี้ยน ป่านั้นมันมีเจ้าป่ามีอะไรต่างๆ มันก็มีความกลัวบวกไปด้วย สิ่งที่เขากลัวเขาเป็นไป นั้นคือความจริงของเขา เพราะเขาไม่มีที่พึ่ง แต่พอครูบาอาจารย์ของเราประพฤติปฏิบัติมา ให้มาถือพระรัตนตรัย

สมัยเราไปอยู่ทางอีสานนะ อย่างแถวดงหม้อทอง แถวภูทอกนี่ ไม่มีใครกล้าเข้าไปอยู่หรอก เข้าไปนะ ตายหมด ถ้าทางวิทยาศาสตร์นะเขาบอกเป็นไข้ตายหมด แต่พอเวลาคนไปทำอะไร มันจะเป็นไข้ออกมา เป็นไข้ออกมา แต่เวลาพระพาเข้าไป นี่ไง นี่กองทัพธรรม เวลาพระพาเข้าไป เพราะพระเราไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว

ถ้าเป็นพระที่มีคุณธรรมนะ พระนี่คุณธรรมต้องสูงกว่า คุณธรรมต้องช่วยตัวเองได้ คุณธรรมต้องปกป้อง ถ้าพูดถึงประชาชนนะ ถ้าถือศีล ๕ ให้ถือศีล ๕ ให้ทำใจให้สงบ ถ้าถือศีล ๕ ทำใจให้สงบ สิ่งนั้นจะเป็นประโยชน์ ถ้าเป็นประโยชน์ขึ้นมา มันก็ทำกสิกรรมได้ ทำสิ่งต่างๆ ได้

นี่ถ้า ๕,๐๐๐ ปีไม่มีนะ เราก็จะเป็นกันอย่างนั้นไป แล้วนี่ ๕,๐๐๐ ปีไปแล้ว ถ้าศาสนาไม่มี กว่าโลกจะปรับตัวนะๆ พระศรีอริยเมตไตรยจะมาตรัสรู้อีกข้างหน้า ยังอีกยาวไกล ทำไมกาฬเทวิล ก่อนที่พระพุทธเจ้าจะตรัสรู้ กาฬเทวิล ระลึกอดีตชาติได้ อนาคต ๔๐ ชาติได้ อยู่บนพรหมนะ นั่นนะก็ต้องการศาสดา ต้องการครูบาอาจารย์เหมือนกัน

แต่ความต้องการของเขา เพราะเขาได้ฤทธิ์สมาบัติ เขารู้อดีตชาติได้ทั้งหมดเลย แต่เขาไปไม่รอด ไปไม่รอด ที่ว่าฟื้นฟูมาจนเจ้าชายสิทธัตถะเกิดแล้ว สิ่งที่ทำนะ โลกเป็นอย่างนั้น มีทั้งโลกจากภายนอก โลกจากภายใน ถ้าโลกจากภายใน มันมาที่เราละ

โลกจากภายใน ความคิดของเรา ความเห็นของเรา ความดีของเรา คุณธรรมของเรา สิ่งต่างๆ ที่เป็นของเรา คำว่า เป็นของเรานะ เราเป็นของเราหมดเลย ดีก็เรา ชั่วก็เรา คำว่าดีก็เรา ชั่วก็เรา ต้องเป็นคนที่จิตพ้นแล้วถึงเข้าใจว่า ดีก็เรา ชั่วก็เรา แต่ถ้าเป็นเรา ดีกับชั่วเป็นอันเดียวกันไง ดีก็ยึด ชั่วก็ยึด ว่าเป็นเรา คือเราไม่รู้ดี รู้ชั่วน่ะ เรายึดความคิดเราตลอดน่ะ พอยึดความคิดเราตลอด เราก็ทำตามประสาเราไปอย่างนั้นน่ะ

ถ้าทำประสาเราไป เวลาข้างนอกนะ หมายถึง สังคมโลก เราจะเห็นเลย สิ่งใดทำไม่ถูกต้อง สิ่งใดทำดี เราจะแยกแยะได้ แต่ใจเราแยกแยะไม่ได้ ถ้าแยกแยะไม่ได้ มันต้องพึ่งครูบาอาจารย์

ความที่ว่าต้องพึ่งครูบาอาจารย์ ดูสิ อย่างในการประพฤติปฏิบัติเราต้องพึ่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีศีล เอาศีลเอาธรรม เป็นเครื่องตัดสิน ว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี ถ้าสิ่งนั้นดี นี่เข้ามาปัญหานี่เหมือนกัน

ปัญหาว่า ถ้าไปบ้านตาดแล้วไปพึ่งบารมีให้หลวงตาช่วย คำว่า “หลวงตาช่วย” น่ะ มันช่วยตรงไหนรู้ไหม มันช่วยตรงที่เรารื่นเริง เราศรัทธาไง ความศรัทธาทำให้เราอยากปฏิบัติเห็นไหม อย่างเช่นเราอยู่กันปกตินี่ เราจะไม่ทำอะไรกัน เราทำอะไรก็ตามแต่ความคิดเรา แต่พอเจอหน้าครูบาอาจารย์น่ะ มันทำให้เราดูดดื่มไง

มันทำให้เราดูดดื่ม มันทำให้เรากระฉับกระเฉง แต่ด้วยการปฏิบัตินี่ ท่านเป็นหลักชัยให้เรา ท่านเป็นที่เจริญศรัทธา ถ้าพูดถึงถ้าไม่มีอะไรเลย ในมงคล ๓๘ ประการ การพบสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง และสมณะมี ๔ สมณะที่ ๑ สมณะที่ ๒ สมณะที่ ๓ สมณะที่ ๔ สมณะที่ ๑ พระโสดาบัน สมณะที่ ๒ สกิทา สมณะที่ ๓ อนาคา สมณะที่ ๔ นี่พระอรหันต์

การเห็นสมณะเป็นมงคลอย่างยิ่ง แล้วครูบาอาจารย์ของเรานี่ เราเชื่อกันว่า ท่านสิ้นกิเลส แล้วเราไปเห็นท่าน เราไปเห็นแล้วเอาท่านเป็นตัวกระตุ้น กระตุ้นความเพียรของเราไง กระตุ้นให้เรามั่นคง กระตุ้นให้เรามีความเพียร กระตุ้นให้เราจริงจัง นี่มันมีผลตรงนี้

แต่การประพฤติปฏิบัตินั่นมันก็เป็นเวรเป็นกรรมละ การประพฤติปฏิบัติ มันต้องเป็นของเรา พอเป็นของเรานี่ มันมั่นใจ เราเคยอยู่กับครูบาอาจารย์มาเหมือนกัน อย่างเช่น เราปฏิบัติของเราอยู่คนเดียว ปฏิบัติแล้วมันเห็นอะไรมา มันก็เห็นอยู่ ใจจริงๆ นะมันบอก มันไม่ใช่หรอก

แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่งบอก ทำมาเกือบเป็นเกือบตาย แล้วเห็นอย่างนี้ปั๊บ มันก็อยากได้ พออยากได้มันก็ติด มันก็เสียเวลามากนะ มันติดมันเสียเวลาของมันไปอย่างนั้น เยอะมาก นี่พอปฏิบัติไปถึงที่สุดแล้ว พอเข้าใจปั๊บ เพราะไปเจอครูบาอาจารย์ท่านชี้ว่า นั่นเป็นความที่ผิด เราก็พยายามปฏิบัติของเราขึ้นมา นี้พอความเห็นอันละเอียด ความหลอกอันละเอียดมันมากขึ้นไปเรื่อยๆ ไง พอเห็นอันละเอียดมันก็กลัว คนเรา กลัว หรือว่า ไม่แน่ใจตัวเอง การกระทำของเรานี่ ให้ผลไม่เต็มที่หรอก

แต่พอเราเข้าบ้านตาดไป เราท้าตัวเองตลอดเวลานะ หลวงตาท่านอยู่บนกุฏิ หลวงตาท่านอยู่บนกุฏิ! เรามีอะไรจะไปให้ท่านแก้ล่ะ พอมีอะไรจะไปให้ท่านแก้ มันทำให้เรานี่มุมานะมาก! มุมานะมาก! เวลาเราพูดเอาประสบการณ์เรามาพูดนะ

ถ้าคนฟังบ่อยๆ ก็คงคิดว่าเราขี้โม้ อย่างว่า เดินจงกรมทั้งวันทั้งคืนนี่ จริงๆ นะเพราะถือเนสัชชิก กลางคืนมันไม่นอนอยู่แล้ว กลางคืนไม่นอนนี่ มันเป็นเรื่องปกติ มันเป็นเรื่องธรรมดา พอเรื่องธรรมดาแล้วนี่ พออดอาหารเข้าไป มันยิ่งสุดยอดเลย เพราะอะไร เพราะถ้าเราไม่อดอาหารนะ เช้าขึ้นมาเราต้องทำข้อวัตรแล้ว

ก่อนรุ่งอรุณนี่เราต้องลงไปศาลาล่ะ ไปขัดศาลา ไปเตรียมอาสน์สงฆ์ ไปเตรียมสิ่งต่างๆ ขัดศาลา ไปทำความสะอาดศาลา เสร็จแล้วก็เตรียมผ้าออกบิณฑบาต พอบิณฑบาตกลับมาเสร็จแล้วนะ ก็รีบเทอาหารออก พอเทอาหารเสร็จ ต้องรีบแจกอาหาร ต้องรีบเข้าไป อาหารมา กว่าจะเสร็จ

ถ้าอาหารมา อยู่ที่บ้านตาดน่ะ เมื่อก่อน เดี๋ยวนี้เราดูในทีวีไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่เหมือนเดิมคือว่า หลวงตาตักองค์เดียว พอหลวงตาตักเสร็จแล้ว เขาก็แจกโยมเลย แต่เมื่อก่อนนะ พอให้หลวงตาตัก ตักเสร็จจากหลวงตานะ พระจะต้องเอาอาหารทั้งหมดไปใส่ให้พระทุกองค์

แล้วบางทีเราอยู่ โห! แกงเบ่อเริ่มเลย แล้วมันเป็นเส้นแกงร้อนน่ะ อู้หู! ควันขึ้น กรุ่นๆ เลย ยกนี่แล้วตักใส่บาตรให้พระ พอพระเจอภาชนะชิ้นนี้ พระจะหลบหลีก พระจะหลบ ไอ้เราก็คิดตามประสาเรา เพราะเราไปอยู่กับท่านใช่ไหม เราบอกว่า

“ถ้าการแจกอาหารมันไม่จบ งานไม่เสร็จ ท่านก็จะให้พรไม่ได้ แล้วเรื่องการขบฉัน มันก็จะเป็นไปไม่ได้”

อะไรที่มันเป็นสิ่งที่ว่าเขาลำบากลำบน หรือว่าเขาหลบหลีกกัน เราเข้าไป ๒ มือ ยกขึ้นมาเลยนะ แข็งๆ เลย แล้วก็ตักใส่บาตรให้พระทุกองค์ ถ้าองค์ไหนเอาผ้าปิดไว้แล้ว ก็สิทธิของเขา เขาไม่เอาแล้ว แล้วตักใส่แล้วนี่ ต้องไม่ให้หยด อย่าให้หยดใส่บาตรเขา เพราะอาหารถ้ามันหยดแล้วมันจะเปื้อน เราต้องทำ ทำให้มันเสร็จขึ้นมาเพื่อความสงบ เรียบร้อย เพื่อการเคลื่อนไปของสังคม ของกิจกรรมนั้น นี่ภัตกิจ

พอเสร็จแล้วนะ ท่านก็ให้พร ให้พรเสร็จแล้ว เราถึงได้ฉัน พอฉันเสร็จแล้วนะ ท่านจะเทศน์ เราก็ล้างบาตรเก็บบาตร พอท่านเทศน์เสร็จแล้ว โยมกลับ ศาลานี่เลอะมากเลย ต้องเก็บภาชนะทั้งหมดเลย แล้วขันคนละใบนี่ ขัน กับผ้าเช็ดนี่ จุ่มน้ำ ทำความสะอาดก่อน

ทำความสะอาดเช็ดพวกไขมันพวกอะไรออกก่อน เพราะถ้าไม่เช็ดไขมันเราจะขัดพื้นไม่ได้ ต้องเช็ดล้างไขมันเสร็จ ทำความสะอาดเสร็จ แล้วพระอยู่เวรก็ต้องเก็บของที่เขาถวายหลวงตาเก็บเข้าไปเป็นส่วนกลาง ขัดเสร็จ จบ ทำอะไรเสร็จแล้วถึงได้กลับไปภาวนา

พอภาวนาเสร็จถึงบ่ายโมง มาฉันน้ำร้อนแล้ว พอฉันน้ำร้อนเสร็จ กลับไปตีตาดออกมา ตีตาดออกมาต้องโยกน้ำ เข็นน้ำไปใส่ตามห้องน้ำ หลังศาลา หน้าศาลา ใส่หมดเลย แล้วประสาเรานะ เราเป็นคนที่แบบว่า เห็นใจเพื่อน พอเขาเข็นเสร็จ เขาเข็นกันนิดหน่อย เขาก็หลบไปทำธุระส่วนตัวแล้ว

ทีนี้ เราไม่อย่างนั้นสิ เรานี่ ไปถามพวกนพดล นพดลนี่เขาแบบว่าเป็นคนรับจดหมาย จดหมายของญาติโยมเข้ามาจะขอพักที่บ้านตาด เขาจะขอพักหลังไหนบ้าง พอขอพักเสร็จปั๊บนี่ เขาต้องจัดที่ให้ พอจัดที่ให้ เราต้องเข็นน้ำไปใส่ตุ่มในห้องน้ำนั้น

พระเขาไม่ทำกันหรอก แต่เรารู้ ไปถึงนั่น เราก็จะเข็นไปให้เพื่อน เพื่อนทำอะไรอยู่ ขาดแคลนอะไรอยู่ เราก็จะเข็นไป นี่พอโยกน้ำๆ เมื่อก่อนบ่อนั้นน่ะ โยกจนแห้งเลย พอแห้งแล้วต้องรอให้ตาน้ำมันมา บางทีจนค่ำนะ กว่าจะโยกน้ำไปส่งให้นพดล ที่เขาจะเอาไปใส่โอ่งในห้องน้ำตามกุฏิที่โยมมาพัก เสร็จแล้วเราถึงได้สรงน้ำ เสร็จแล้วถึงได้ภาวนา

นี่พออดอาหาร พออดอาหารแล้วนี่ ใครอดอาหาร หลวงตาบอกว่า เราลงทุนด้วยกระเพาะของเราแล้ว ลงทุนด้วยร่างกายของเราแล้ว ถ้าลงทุนอย่างนี้ ท่านบอกให้ภาวนาเลย พอภาวนานี่ข้อวัตรยกเว้น ถ้าพระอดอาหาร พระไม่ต้องทำข้อวัตร เว้นไว้แต่พระที่เข้าเวร ถ้ามีเวร ต้องมาเข้าเวร

พออดอาหารปั๊บ ไปปฏิบัติ พอปฏิบัตินี่ อดนอนด้วย การอดอาหารนี่ จะออกมาฉันเฉพาะน้ำปานะตอนบ่ายโมง นอกนั้นภาวนาทั้งวันทั้งคืนเลย นี้การเดินจงกรมนี่มันถึงได้ทั้งวันทั้งคืน ๗ วัน ๗ คืน เราเดินจงกรม ๗ วัน ๗ คืน มันจะเร่งตัวเองตลอดเลย เพราะเมื่อก่อนมันทุกข์ มันทุกข์ว่าเวลาภาวนาผิดพลาดไปแล้วนี่ คนแก้ไขมันไม่มี

แล้วโทษนะ เมื่อก่อนไม่รู้น่ะ แต่เดิมคนยังโง่อยู่เป็นธรรมดา การปฏิบัติใหม่ คนมันก็ยังโง่อยู่ ก็คิดว่าพระผู้ใหญ่ พระที่มีพรรษา คือพระที่รู้หมดน่ะ ไปถามปัญหาองค์ไหนแต่ละองค์ ถามไปเถอะไปไหนมา สามวาสองศอก เราถามไปอย่างหนึ่งนะ เขาตอบไปอย่างหนึ่ง

แล้วพอตอนหลังเราภาวนาเป็นขึ้นมา เราภาวนาเป็นแล้ว เราถึงมาย้อนทีหลังนะ มันเศร้าใจนะ เพราะภาวนาเป็นขึ้นมานะ เราไปเที่ยว ไปพักวัดไหนก็แล้วแต่ นี่อย่างนี้ เวลาโยมมานี่ อาจารย์หน้าที่ของพระผู้ใหญ่ต้องตอบปัญหาธรรมะ เราไปนั่งฟัง ตอบผิดทั้งนั้นเลย

เราถึงย้อนกลับไปตอนที่เราเป็นพระเด็กๆ แล้วไปถามเขาไง โทษนะ เขาก็ตอบเราอย่างนี้ แล้วมันจะถูกได้อย่างไร ตอบผิดเพราะอะไร เพราะเขาถามเรื่องสมาธิ พระตอบเรื่องสมาธิไม่ถูกน่ะ พระกรรมฐานไม่รู้ว่าเป็นสมาธิ หรือไม่เป็นสมาธินะ อย่าให้เอ่ยชื่อเลย เพราะเราไปนั่งฟังอยู่ตลอด เราก็เหมือนโยมนี่ ไปนั่งฟังองค์นั้นตอบปัญหา ไปนั่งฟังองค์นี้ตอบปัญหา ตอบปัญหาเสร็จแล้วก่ายหน้าผาก

เฮ้ย! มันไม่เป็นจริงๆ ว่ะ เราคุยกับตัวเองนะ เฮ้ย! มันไม่เป็นจริงๆ ถ้ามันเป็นจริงๆ นี่ ไอ้นี่อะไร ถ้าเรายื่นมา ไอ้นี่อะไรก็กระดาษน่ะ เฮ้ย มึงไม่รู้จักกระดาษเหรอ พอยื่นกระดาษมา มันบอกว่า ไอ้นี่อะไรนี่ ไอ้นี่เป็นเหล็ก ไอ้นี่เป็นเพชร เป็นอะไร....มึงบ้า เขายื่นมานี่คืออะไร นี่คือกระดาษ ก็ตอบกระดาษสิ แต่มันตอบ..ไม่รู้จักกระดาษ มันตอบกระดาษผิด

พอเราภาวนาเป็นแล้วนะ เราก็เที่ยวไปเหมือนเดิม ก่อนที่เราภาวนาไม่เป็นน่ะ เราก็เที่ยวไป วิเวกไป ก็ไปอยู่กับครูบาอาจารย์นี่ แล้วเรามีปัญหาขึ้นมานี่ เราก็เข้าใจว่า ว่าท่านเป็นพระผู้ใหญ่ พรรษาต่างจากเรานี่ ๓๐- ๔๐พรรษานี่ เพราะเรานี่ พรรษา ๑ พรรษา ๒ พวกนี้ก็ ๓๐-๔๐ พรรษาหมดแล้วนะ ตอนนี้เราพรรษา ๓๐ กว่าแล้ว ครูบาอาจารย์พระผู้ใหญ่ที่อยู่นี่ก็ พรรษา ๖๐ แล้วนะ อย่างหลวงตานี่เกือบ ๘๐ พรรษาแน่ะ พรรษา ๗๐ กว่าแล้ว แล้วตอนนั้นพรรษาเขาเยอะแล้ว เยอะแล้วด้วยความไม่แน่ใจไง

ด้วยความไม่แน่ใจว่า พระนี่เป็นอาจารย์เรา พระเป็นผู้ใหญ่ อย่างน้อยต้องแก้ปัญหาเราได้ คือเราไปโรงพยาบาลหมอต้องรักษากูได้บ้าง มันมั่นใจนะ ใหม่ๆ มั่นใจมากเลย เข้าไปโรงพยาบาล อย่างน้อยหมอต้องรักษากูได้ แล้วก็ไปถามปัญหานี่ แล้วก็เชื่อ แล้วก็ทำไป หลงไปเยอะมาก

แล้วพอเข้าบ้านตาดไปนี่ เราเร่งของเราๆ แล้วก็ท้าตัวเองเลย ไปอยู่กับครูบาอาจารย์จะได้อะไร ก็ได้กำลังใจไง พอมีปัญหาเราขึ้นไปถาม ท่านถีบตกกุฏิทุกทีเลย เพราะเรามันแรง ท่านถีบมา เราก็มี ได้โอกาสได้ปัญหา พอถีบมามันมีเหตุผลไง เราก็มาตรึก มาคิด

โอ้โฮ มันทะลุปรุโปร่ง แล้วพอเราออกเที่ยวไป ก็อย่างที่ว่านี่ ไปอยู่ที่ไหนไปฟัง ไปฟัง ไม่รู้ตอบไม่ได้ นี่มันถึงเศร้าใจนะ ประสาที่เราพูดตรงนี้มากเพราะอะไรรู้ไหม เพราะเราเคยผ่านอย่างนี้มา ตอนที่เราภาวนาไม่เป็น เราออกเที่ยวครั้งแรกนะ เราไปเราก็มีความมั่นใจว่า พระผู้ใหญ่ พระที่เป็นอาจารย์จะสอนเราได้ จะทำของเราได้ทั้งนั้น

พอไปทำจริงๆ แล้วมันไม่ได้ แล้วพอไม่ได้ หนึ่งไม่ได้ พอเราภาวนามีหลักมีเกณฑ์แล้วนี่ เราก็ไปเที่ยวเหมือนเดิม ไปอยู่กับเขา ทุกองค์เลย สายบ้านตาดนี่ ทุกองค์เราเคยไปอยู่ด้วยทั้งนั้นน่ะ

แล้วพอมีปัญหาขึ้นมานี่ เขาไปพักภาวนากัน แล้วเขาก็ถามปัญหากัน เราก็นั่งฟังอยู่ สงสารคนถาม ไม่สงสารคนตอบนะ ไม่สงสารอาจารย์เลย ถ้าเราไม่เป็น เราไม่รู้ เราควรบอกเขาว่าเราไม่เป็น ไม่รู้

เราไปฟังอยู่นะ พวกหมอนี่เขาพัก ลาพักร้อนแล้วเขาก็มาภาวนา แล้วพอจิตเขาสงบ จิตเขาเป็นสมาธิแล้วเขาไปถามนี่ เขาบอกว่า “ไม่ใช่ ๆ” เราฟังดูนะ นี่สมาธิเขาบอกไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเราเป็นพระผู้ใหญ่ เราภาวนาเกือบเป็นเกือบตาย พระส่วนใหญ่ถ้าภาวนาไม่มีหลักเกณฑ์นี่ อูย ! เราทำขนาดนี้ เขามาทำแป๊บๆ เขาจะได้ ได้อย่างไร ทั้งที่เขาทำได้ แล้วเราดูเขาได้ เพราะอะไร เขาได้เพราะเขาทำงานแล้วเขาเครียดมาก หมอนี่เขาได้พักร้อน ๑๐ วัน เขามาทำของเขา เขาได้โดยส้มหล่น โดยฟลุ๊กอ่ะ

สมาธิก็คือสมาธินี่ สมาธิก็ตอบไม่ถูก ตอบไม่ถูกไม่ว่านะ ตอบไม่ถูกแล้วบอกเขาว่าไม่ใช่น่ะ คนเราพอบอกว่าไม่ใช่นี่ อย่างเช่น เราเอาเงินมานี่ เราได้เงินมาพันหนึ่ง แบงก์พัน เรามาถามโยมว่า นี่คืออะไร โยมบอกว่านี่ไม่ใช่แบงก์พัน เราก็โยนทิ้งเลย พอบอกเขาไม่ใช่ เขาก็ปล่อยไง พอเราฟังแล้วเศร้าฉิบหายเลย

ถ้าประสาเรา เราบอกว่านี่ ถ้าเราภาวนามาแล้วนี่ เราเป็นสมาธิ แล้วมาถามพวกโยม พวกโยมบอกว่า ไม่ใช่นี่ แล้วเราทำอย่างไร เราก็ต้องปล่อยใช่ไหม เราไปทำใหม่ใช่ไหม เพราะอะไร เพราะเราเป็นนักปฏิบัติ พอเราฟัง นั่งฟังแล้วเราก็เศร้า เศร้ามาก เรื่องนี้ เพราะอย่างนี้นะ ดูสิหลวงตาท่านพูดว่า ท่านเป็นนักล่าอาจารย์ ท่านล่าอาจารย์มาก เวลาท่านปฏิบัติขึ้นไปนี่ ครูบาอาจารย์ หลวงปู่มั่น สอนท่านถูก ท่านทำของท่านมาได้

เวลาเราพูดนี่เพราะว่า หนึ่ง ก่อนที่เราจะเข้าไปอยู่บ้านตาด เราธุดงค์ไป เราวิเวกไป แล้วใจเรา เราไปนี่เราไม่ได้ไปเร่ร่อน เราไปภาวนา พอภาวนามันจะได้มากได้น้อย เราพยายามสู้เต็มที่ สู้ของเราขึ้นไป มันจะได้ไม่ได้นั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

ถ้ามันได้ขึ้นไปมันก็เป็นประโยชน์ มันไม่ได้มันก็เป็นเรื่องของกรรม เวลาปฏิบัติขึ้นมา ถ้ามีคนชี้นำที่ดี มันจะไปได้ดีมาก มันถึงท้าตัวเองประจำนะ ท้าทายมาก ท้าทายตัวเอง ให้ตัวเองปฏิบัติ ให้ตัวเองเข้มแข็ง แล้วก็คิดถึงประสบการณ์ของตัวเรา เราคิดถึงประสบการณ์ของตัวเรา แล้วเราก็มามองหน้าโยมนี่ ร้อยทั้งร้อย ร้อยทั้งร้อยเลย

นี่เขาบอกว่า โดยธรรมชาติ โดยธรรมะนี่ การให้ธรรมเป็นทานเป็นบุญมากที่สุดใช่ไหม การให้ธรรมเป็นทาน ให้ได้บุญมากที่สุด แล้วเราก็บอกว่า แล้วเขาพิมพ์หนังสือ ให้ธรรมเป็นทานไหม แล้วเวลาเราพูด ให้ธรรมเป็นทานไหม

นี่คำว่าให้ธรรมเป็นทาน ธรรมะของใคร เขาบอกนี่ธรรมะของพระพุทธเจ้า เขาบอกของพระพุทธเจ้านี่มันจะผิดตรงไหน ก็บอกของพระพุทธเจ้าน่ะ แล้วเอ็งรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนเป็นของพระพุทธเจ้า อันไหนไม่เป็น นี่เขาได้คัดลอกมาจากหนังสือของ.... ๕ เล่ม มันเหลือมุมแค่นี้

เราบอกนั่น ยิ่งตัวร้ายเลย ยิ่งตัวร้ายเลย ให้ศึกษาเฉพาะพุทธพจน์เท่านั้น มายื่นให้เราเต็มเลยนะ พอเราอัดเข้าไปๆ นี่ เขาบอกขอให้ดูตรงนี้ เพราะเขาไม่เข้าใจ เขาพิมพ์เองเขาไม่เข้าใจ เขาเอามาให้เราดู เขาบอกนี่มาจากพระไตรปิฎก พุทธพจน์เหมือนกัน

“เพราะจิตนี้หลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะเป็นจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึงยินดีร่าเริงด้วยดี เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตนั้นถึงไม่หวาดสะดุ้ง”

ตรงนี้เราค้านเขาเต็มที่เลย เพราะเราบอกนะพระอรหันต์ไม่มีจิต พระไตรปิฎกพระพุทธเจ้าเป็นพระพุทธเจ้านี่ จะพูดว่า “เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะจิตหลุดพ้นแล้วจิตจึงดำรงอยู่” กูค้านเต็มๆ เลย เขาบอกให้ดูบรรทัดท้ายซิ บรรทัดท้าย เพราะเขาศึกษามาเต็มที่เหมือนกัน เพราะบรรทัดสุดท้ายนะ

“เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงดำรงอยู่ เพราะเป็นจิตที่ดำรงอยู่ จิตจึงยินดีร่าเริงด้วยดี เพราะเป็นจิตที่ยินดีร่าเริงด้วยดี จิตนั้นจึงไม่หวาดสะดุ้ง เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง ย่อม! ย่อมปรินิพพาน เฉพาะคนนั้นนั่นเชียว ย่อมปรินิพพาน”

คือว่า เพราะจิตหลุดพ้นจิตอะไรน่ะ เป็นการ ประสาเราว่า เป็นการทำจิตขึ้นมาเรื่อยๆ ไง มันยังไม่หลุดพ้น เพราะถ้าไม่หลุดพ้น เมื่อไม่หวาดสะดุ้ง เพราะเมื่อจิตที่ยินดีร่าเริงดีแล้ว จึงไม่หวาดสะดุ้ง เพราะเมื่อไม่หวาดสะดุ้ง ย่อม! ย่อมปรินิพพาน นี่ เพราะคนไม่เข้าใจก็บอกว่า “เพราะจิตหลุดพ้นแล้ว จิตจึงไม่สะดุ้ง ก็คิดว่านี่คือนิพพาน”

เราบอกว่า พระไตรปิกฎน่ะ ท่านพูดกับใคร พูดสอนใคร ถ้าพระไตรปิฎกพูดสอนใคร ท่านพูด สอนฆราวาส ท่านยังพูดอนุบุพพิกถา พูดถึงเรื่องทาน เรื่องศีล เรื่องเนกขัมมะเรื่องออกประพฤติปฏิบัติ แต่นี้ด้วยความเข้าใจว่า ของฉันเป็นพุทธวจนะ ของฉันเป็นพุทธพจน์ มันจะสำคัญกว่าคนอื่นไง มันจะถูกต้องยิ่งกว่าของคนอื่นไง

แล้วกูบอกว่าๆ แล้วของหลวงตาอย่างนี้ มันถูกต้องหมดเลย เพราะหลวงตาบอกว่า ถ้าไม่รู้เขียนไม่ได้ แต่อันนี้ มันเป็นภาษาบาลี มันเป็นภาษาที่มันแปลออกมา ใครเป็นคนแปล แล้วคนแปลนี่มันมีวุฒิภาวะ มันมีความรู้แค่ไหน

เมื่อกี้เอาเล่มนี้มา เราจะต้องก้มลงกราบเขาเลยนะ เขาคิดว่าเขาทำถูก มันคิดว่ากูจะ กราบมันนะ กูใส่ๆ ใส่เปรี้ยงเลย บอกว่า ในเมื่อมันเป็น ทิฐิ ทิฐิของอาจารย์ของเขานี่ วัดนี่เขาทิฐิ ให้ศึกษาเฉพาะพระพุทธพจน์เท่านั้น ให้ศึกษาพระไตรปิฎกเท่านั้น อย่างอื่นไม่เอา บอกอย่างอื่นไม่เอา ห้ามเลย

แล้วบอกว่า อ้าว ต้องศึกษาพระไตรปิฎกเท่านั้น แล้วพระไตรปิฎก สิ่งที่พระไตรปิฎกพูดมา พระไตรปิฎกสอนมาหลากหลายมาก แล้วตรงไหนพระไตรปิฎกสอนเรื่องให้หลุดพ้น แต่นี่ครูบาอาจารย์ ท่านพูดแต่เรื่อง ดูสิ เราพูดถึงเรื่องปฏิปทาของหลวงปู่มั่นเลย ปฏิปทาพระกรรมฐานนี่ทั้งนั้นเลย ชัดๆ เลย

แต่เขาบอกว่ามันเป็นนิยาย มันเป็นบุคคล ถ้าพูดถึง ถ้าอย่างพวกเรานี่ เราเคารพหลวงปู่มั่นไหม เราเคารพครูบาอาจารย์ของเราไหม แล้วครูบาอาจารย์ของเราพูดออกมา ท่านสอนมานี่ มันจะมีเนื้อหาสาระจริงไหม ทำไมมึงไม่เอากันตรงนี้

แล้วพอ เมื่อกี้เราอัดไปเต็มที่เลยนะ เพราะเขาการันตีว่านี่สิ้นกิเลส นู่นสิ้นกิเลส ถ้าสิ้นกิเลส ไอ้ของพื้นๆ นี่แม่งยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยนี่ แล้วสิ้นกิเลสแล้วจะเอาอะไรมาสิ้น นี่ พอสิ้นกิเลสปั๊บ พวกนี้เขารับประกันกันมาใช่ไหม แล้วเขาเป็นเครือข่าย ใช่ไหม นี่พอเขามาหาเราเมื่อกี้นะ พอเราอัดเข้าไปๆ เขาบอกคราวนี้เลยเขาจะไม่พิมพ์อีก

เราบอกเขาว่า พระไตรปิฎกนี่มันเป็นกรอบ มันเป็นกรอบนะ ถ้าความคิดเราน่ะ พูดถึงธรรมะถูกไหม ถูก แต่ธรรมะที่เราตรึกในธรรมะนี่มันเป็นกรอบใช่ไหม มันเป็นกรอบ พอเราคิดอยู่ในกรอบ กิเลสในกรอบนี่ กิเลสมันรู้ทันมึงหมดน่ะ อย่างเช่น เราคิดเรื่องอะไร เรารู้ไหมว่า กิเลสมันคิดตามเรา เราคิดเรื่องอะไร กิเลสมันก็คิดด้วยใช่ไหม แต่นี่เราตรึกในธรรมะนี่ กิเลสมันตรึกด้วยหรือเปล่า

ทีนี้ในการปฏิบัติของครูบาอาจารย์เรานี่ อย่างเช่น หลวงปู่มั่นท่านสอนหลวงตาว่า “มหา เรียนธรรมะของพระพุทธเจ้ามานี่สูงส่งมาก จนได้เป็นถึงมหา ก่อนที่จะประพฤติปฏิบัตินี่ ขอให้เอาสิ่งที่เล่าเรียนมานี่เอาไว้ในลิ้นชักก่อน คือในสมองนี่เอาใส่ลิ้นชักแล้วล็อกมันไว้ก่อน ให้ปฏิบัติไปก่อน ปฏิบัติถึงที่แล้วมันจะมาอันเดียวกัน ให้เอาไว้ก่อน พอปฏิบัติแล้วมันจะเกิดข้อเท็จจริงขึ้นมาไง ถ้าเกิดข้อเท็จจริงนี่ พระไตรปิฎกเอาไว้ก่อน ก็นอกกรอบ

เราบอกเลยนะ ถ้าคิดในกรอบนี้ กิเลสมันรู้ทันมึงหมดล่ะ ถ้าคิดนอกกรอบกิเลสรู้ทันไหม กิเลสก็รู้ทันเหมือนกัน เพราะ กิเลสเป็นเราอยู่แล้ว เราคิดนอกกรอบกิเลสก็มาด้วย แต่มันคิดนอกกรอบนี่ มันไม่อยู่ในสูตรสำเร็จ ใช่ไหม คำว่าในกรอบมันคิดเป็นสิ่งที่อยู่ในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว กิเลสมันบอกว่า เหมือนปลาในสุ่ม มันจับได้เลย

แต่ถ้าเราแหกสุ่มออกไป ออกไป ก็ยังโดนนายพรานเขาจับเหมือนกัน แต่ถ้าเราแหกออกไปแล้วเราเอาตัวรอดได้ นี่การปฏิบัติไง เราอธิบายอย่างนี้ให้เขาฟัง เขางงนะ เขาคิดว่า ถ้าคิดนอกกรอบมันจะผิดหมด ต้องคิดอยู่แต่ในพระไตรปิฎก กูบอก ถ้าคิดอยู่แต่ในพระไตรปิฎกนี่ไปไม่รอดเลย ไปไม่รอด

หลวงปู่มั่นบอกให้วางไว้ก่อนแล้ว แล้วปฏิบัติโดยข้อเท็จจริงของเรา นั้นน่ะนอกกรอบ เพราะข้อเท็จจริงของเรา คือมันเกิดตามธรรมชาติใช่ไหม ปัจจุบันธรรมใช่ไหม ไม่ใช่สัญญาใช่ไหม นี่ปฏิบัติอย่างนี้ไป เขาก็ถามอีก มา ๒ คน เมื่อกี้สู้ใหญ่เลยนะ แฟนบอกว่า อ้าว แล้วจะคิดอย่างไรมันถูกมันผิดล่ะ

กูย้ำเลยนะ หลวงตาสอนว่า

“อยู่กับผู้รู้ อยู่กับสติ ไม่มีผิด”

หลวงตาสอนนี่ง่ายๆ เลย แล้วหลักของมันเลยนะ “อยู่กับผู้รู้ อยู่กับสติ จะไม่มีการผิดพลาดเลย” นี่พระอรหันต์สอน

เพราะเรารู้อยู่ว่ามันมาเป็นเครือข่าย แล้วเครือข่ายของเขานี่นะ เครือข่ายโง่ไง เครือข่ายงี่เง่า เรามีครูบาอาจารย์ของเราน่ะเป็นหลักเป็นชัย ทิ้งครูบาอาจารย์ของเรา ไปคบเด็กวานซืนไง แล้วก็สร้างเครือข่ายกันขึ้นมา แล้วก็พิมพ์ออกมา ถ้าพวกเรานี่นะ ถ้ามีความเคารพครูบาอาจารย์นะหนังสือธรรมะของหลวงตานี่เยอะแยะเลย แล้วมาทำให้สวยๆ ออกมานะ โอ้โฮ้! มันจะเชิดชูกรรมฐานเรามหาศาลเลย

ไพล่ไปออก ไปเอาพระพุทธเจ้าเลยนะ เพราะพิมพ์พระพุทธเจ้าแล้วพิมพ์พุทธพจน์นี่ ทุกคนจะไม่กล้าค้านไง เราบอกว่า เอ็งจะให้กูเหรอ ถ้าให้กูนะ เข้าไฟหมดเลย เข้ากองไฟหมด กูเผาทิ้งหมด เพราะหนังสือนี่ให้ไปแจกที่มหามกุฏฯ แจกที่วัดการศึกษา

วัดปฏิบัตินี่นะ นักรบเวลาฝึก เขาต้องเรียนทางวิชาการแล้วฝึกเต็มที่เลย แต่นี่กูจะออกรบอยู่แล้ว เอาปืนมาแล้วต้องกางตำรา เฮ้ย ปืนใส่กระสุนอย่างไรวะ ปืนจริงไง ตายห่าหมด มึงปฏิบัติไปเลย ปืนนะ ออกปฏิบัติเอาปืนมา แล้วยิงมัน เจอข้าศึกแล้วยิงมัน เจอข้าศึกยิงมัน แล้วกูสอนเอง กูสอนเอง

คือว่าเลือกปฏิบัติแล้วนะ ถ้าปฏิบัติแล้วนะมันต้องเข้าสงครามแล้ว ไม่ใช่มาห่วงจะไปพิมพ์หนังสือ พิมพ์หนังสือกันอย่างนี้ ไม่ใช่ มันมีมาทางสายเรานี่แหละ เขาพิมพ์มา เอาพระไตรปิฎกเหมือนกัน แล้วเอารูปหลวงปู่มั่นไว้ข้างหน้า แล้วเอารูปหลวงตาไว้ข้างหลัง จะมาให้เราแจก

“กูบอกไม่แจก แจกไม่ได้”

“แจกไม่ได้ได้อย่างไร พุทธพจน์นะ นี่รูปหลวงปู่มั่นด้วย”

พุทธพจน์นี่มันอยู่ในฝ่ายปริยัติ ฝ่ายปฏิบัตินี่ ฝ่ายออกปฏิบัติ หลวงปู่มั่น หลวงปู่เสาร์ นี่ หลวงปู่มั่น หลวงตานี่ ท่านปฏิบัติแล้ว ปฏิบัติจนท่านสิ้นกิเลส ท่านเป็นพระอรหันต์แล้ว นี่ถ้าสิ้นกิเลสจนเป็นพระอรหันต์แล้ว ถ้าจะเอารูปหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น หลวงตา ก็ต้องเอาธรรมะของหลวงปู่มั่น ของหลวงตา

“อ้าว ถ้ามึงจะพิมพ์พุทธพจน์ มึงก็พิมพ์รูปพระพุทธเจ้าสิ มึงต้องเคารพพระพุทธเจ้าใช่ไหม ที่มึงพิมพ์นี่พิมพ์พระไตรปิฎก ก็ต้องพิมพ์พระพุทธรูปสิ แล้วมึงพิมพ์รูปหลวงตากับหลวงปู่มั่นทำไม”

“ก็หลวงตา หลวงปู่มั่นสังคมเชื่อถือ”

“อย่างนั้นมันขัดแย้งกัน แล้วถ้าจะให้เชื่อถือทำไมไม่เอาธรรมะหลวงตา”

นี่ๆ หลักฐานทางเอกสาร คือหัวใจไม่สะอาดบริสุทธิ์ ถ้าหัวใจลงหลวงตา ลงครูบาอาจารย์จะไม่ทำกันอย่างนี้ เราเห็นการเอาหนังสือมาแจก เรารู้เลยว่า ไอ้พวกนี้มันแข็งข้อ มันแข็งข้อ ถ้ามันไม่แข็งข้อนี่ เรื่องที่มันเป็นข้อเท็จจริงของครูบาอาจารย์มันมีอยู่แล้ว ทำไมเราไม่เชิดชูพ่อแม่ครูบาอาจารย์เรา เราเชิดชูพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้า อู้ฮู! สำนักเรียนนะมันทำวิจัยมันดีกว่ามึงหลายร้อยเท่า ถ้าเราทำของเรา เขาพิมพ์เสร็จแล้วจะเอามาให้แจก เราไม่แจก แล้วถามไถ่ถึงเหตุผล เหตุผลเราก็ตอบอย่างนี้

อันนี้ก็เหมือนกัน อันนี้มานี่ พอเราเห็นว่า เพราะบังเอิญนะเรารู้ถึงทัศนคติของเขาไง เขาบอกว่า ปฏิบัติน่ะมันจะผิด เขาบอกว่าห้ามฟังสาวกภาษิตทั้งหมด ให้ฟังพระไตรปิฎก กูบอก ฟังพระไตรปิฎก ผิดหมดเลย กูไม่ได้เถียงพระไตรปิฎกนะ กูเถียงไอ้คนพูดน่ะ พระไตรปิฎกนี่ เราปฏิบัติไป คนที่เราศึกษาพระไตรปิฎกมานี่ เราศึกษามาหมดแล้ว เอ็งงงไหม งงทุกคนน่ะ แล้วเอ็งคุยไป ปฏิบัติตามพระไตรปิฎกแล้วเมื่อไหร่เอ็งจะถึงที่สุดล่ะ แต่ถ้ามีครูบาอาจารย์บอกทางเอ็งน่ะ แล้วทำไมเอ็งไม่เอา

นี่มันบอกถึงทัศนคติ มันบอกถึงทัศนคติของหมู่คณะ ที่เขาทำกันอย่างนี้ แต่ก็ยังบอกว่า เป็นลูกศิษย์บ้านตาดกันอยู่ เมื่อกี้มานี่ เขาสะดุ้งเลย ใส่เต็มๆ เลย แต่คนที่พิมพ์ ผู้หญิง เขาดี เขาบอกว่า เขาจะเลิกพิมพ์เลยนะ แล้วเขาจะเลิกพิมพ์แล้ว เขาก็พูดคำนี้

“ถ้าอาจารย์นี่จะเคารพหลวงตามากนะ”

“อย่าให้กูพูดเลย อย่าให้กูพูด ถ้ากูพูดเดี๋ยวมึงจะรับไม่ได้”

“ถ้าคนเคารพเขาทำกันอย่างนี้เหรอ”

อย่ามาพูดนะ ทุกคนพระที่มีชื่อเสียงๆ ทุกคนบอกว่า หลวงตาดีอย่างนั้น หลวงตาเคารพอย่างนั้น เพราะอย่างไรก็ขอเกาะไง เพราะจะบอกว่าหลวงตาผิดนี่มึงจมดินแน่ๆ เลย มึงไม่ได้เกิด ฉะนั้นหลวงตาต้องถูกไว้ก่อน ปากพูดนะ แต่พฤติกรรมมันจริงหรือเปล่า ถ้ามันจริงมันทำอย่างนี้กันไหม

เขาเคยได้ยิน ได้ฟังแต่ข่าว เมื่อกี้นี้เจอเข้าไปเต็มๆ เลย อัดเข้าไปทีแรกน่ะ หน้าแดงเลยนะ โทษนะ ทำไมด่ากันตรงๆ ทำไมไม่ให้เกียรติกันเลยล่ะ ด่าซึ่งๆ หน้าเลย แล้วเราก็พูดสอนเขาเลย บอก เราเป็นลูกศิษย์หลวงตา หลวงตาบอกว่า “กิเลสมันอยู่ที่ใจดำ”

มารยาทสังคมนี่ เขาต้องถนอม มีมารยาท เขาต้องคุณโยม เจริญพร แต่หลวงตาบอกว่ากิเลสมันอยู่ที่ใจ ต้องพูดแทงใจดำมัน พูดเข้าไปที่หัวใจมัน พูดให้มันรู้สึกความผิดความถูกในใจมัน ทิ่มเข้าไปเลย

แล้วเมื่อกี้ทิ่มเข้าไปเลย แล้วเขาก็พูดด้วย เขาบอกว่า “ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว แต่วันนี้เจอเข้าไปเต็มๆ นี่ ก็รับแทบไม่ไหว” แต่เขาพูดเองว่า ได้ยินกิตติศัพท์มานานแล้ว แล้วเขาพูด เขาพูดหลุดปากมา เขาบอก

“หลวงพ่อนี่ดี หลวงพ่อพูดตรงๆ หลวงพ่อนี่ดีพูดตรงๆ ไม่ต้องอ้อมค้อม”

ใส่กันซึ่งๆ หน้าเลย ถ้าอย่างนี้ปั๊บ ถ้าเขาเป็นธาตุที่ดี เขายังใฝ่ดีอยู่ เขาจะได้คิด

เราบอก เราพูดบ่อยเมื่อกี้ หนังสือนี่นะ เอ็งพิมพ์ให้ล้นโลกเลยนะ แล้วมึงก็วางบนโลกให้โลกเอียงไปเลยนะ มึงดูซิใครจะได้ผลบ้าง แต่ถ้ามึงปฏิบัติน่ะ ใจมึงเป็นน่ะ มึงปฏิบัติเดี๋ยวนี้ มึงจะได้ผลเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่ไปห่วงว่าจะพิมพ์หนังสือๆ

พิมพ์หนังสือนี่เป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าเป็นหนังสือที่ถูกต้องดีงามหมดน่ะ แต่การพิมพ์หนังสือนี่ มันเป็นทางออกของกิเลส มันไม่มีงานทำ พอมันไม่มีงานทำ จะรื้อค้นตำราใดๆ ที่จะเอามาพิมพ์นี่มันก็เป็นสิทธิของครูบาอาจารย์ทุกๆ องค์ใช่ไหม

ถ้าไปรื้อค้นมาจากพระไตรปิฎกนี่มันเป็นสมบัติสาธารณะใช่ไหม แล้วมึงต้องเสียเวลาไปรื้อไปค้น ไปค้นคว้ามานี่ แล้วมารวมเล่มนี่ ถ้าเอ็งมีคุณธรรมในหัวใจ เอ็งพูดออกมาซิ ว่าปฏิบัติอย่างไร มึงพูดมา อัดเทปมาแล้วแกะแล้วพิมพ์ จริงไหม

มันเป็นทางออกของกิเลสไง เป็นทางออกของคนที่จะมาคลุกคลีกับญาติโยมไงแล้วเป็นทางออก คือมีกิจกรรมว่างั้นเถอะ คือเหงา คือว้าเหว่ คือไม่มีทางไป! แต่ถ้าคนเขามีทางออกนะ เขามีทางไปนะ หลวงตาพูดประจำ มึงไม่ได้ยินหรอ “เราอยากอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวแล้วมีความสุข ไม่อยากให้ใครมากวน”

แล้วถ้ามึงอยู่ มีความสุขแล้วมึงเป็นหมาขี้เรื้อน มึงมาค้นคว้าพิมพ์หนังสือกันทำไม สังเกตได้ไหม ฮู้ นู้นก็จะพิมพ์ นี่ก็จะพิมพ์ แต่ถ้าพิมพ์นะ พิมพ์แล้วเป็นสมบัติของเขานะ เป็นสมบัติที่เขาทำมาเราเห็นด้วยนะ

เพราะเวลาเราคุยธรรมะกันนี่ ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ ใครแล้วแต่ ดูสิ หลวงตาท่านพูดเมื่อวาน ๒-๓ วันนี้ ที่ท่านไปหาหลวงปู่แหวนไปซักหลวงปู่แหวน ชีวิตเขาทั้งชีวิตเขาค้นคว้ามานะ นักปฏิบัติของแต่ละองค์ ในชีวิตของท่าน ท่านใช้ชีวิตของท่าน พิสูจน์ วิจัย ตรวจสอบ ต่อสู้มาทั้งชีวิต

แล้วท่านเอาประสบการณ์ของท่านมาเล่าให้เราฟัง ไม่เอาหรอ โง่ตายเลยนะ ถ้าใครไม่ฟังครูบาอาจารย์เทศน์ถึงประสบการณ์ของท่าน แล้วเราไปฟังอย่างนั้น เอาไหม เราไปปฏิบัติถูลู่ถูกังยังไม่รู้เรื่องอะไรเลย แล้วท่านเอาประสบการณ์ของท่าน แล้วมาอธิบายให้เราฟังนี่ ใครไม่ฟังโง่มากๆ

แล้วถ้าพูดถึงถ้าเรามีคุณสมบัติอย่างนั้น ก็ที่เราปฏิบัติมาล่ะ เราทำของเรามาล่ะ ตรงนั้นเอามาสิ ถ้ามันเป็นความจริง ออกมาสิ ออกมามันจะได้ประโยชน์เลย

ถาม : หลวงปู่เจี๊ยะ อดีตชาติเป็นใคร? หากไม่สมควรถามผมก็ขออภัย

หลวงพ่อ : แน่นอนอยู่แล้ว (หัวเราะ)

ถาม : หลวงพ่อเคยปรารถนาพุทธภูมิหรือไม่? บุคคลเช่นไรจึงควรจะปรารถนาพุทธภูมิ?

หลวงพ่อ : เรื่องที่ปรารถนาพุทธภูมินี่ โดยที่มันไม่มีหลักยึด เราบอกว่า เราคิดว่าไอ้นี่จะเป็นเกือบทั้งหมดเลยนะ ทิเบตน่ะ เมื่อก่อนเราไม่ได้ค้นคว้า เราไม่เข้าใจนะ เพราะทิเบตนี่ เวลาเขากราบนี่เขานอนไปทั้งตัวเลยนะ

เราเห็นอะไรแล้ว เราจะคิดถึงที่มา เวลาเขานอนไปทั้งตัวนี่ เอ.. กราบพระอย่างนี้มันอยู่ในพระไตรปิฎกตรงไหน รูปที่เราหล่อพระขึ้นมานี่ ปางอะไรก็แล้วแต่ จะมีกิริยาพระพุทธเจ้าในพระไตรปิฎก ปางห้ามญาติ ปางทุกอย่าง มันมาจากพระไตรปิฎก

เอ.. แล้วนอนอย่างนี้ พระไตรปิฎกมันอยู่ที่ไหนๆ เราก็หาอยู่นะ เพราะเรามีอะไรสงสัยไม่ได้เราต้องค้นคว้า แล้วมาตอนหลังนี้ มาดูรูปวาดของเขา ทางมหายาน ทางเมืองจีน เขาจะมีแบบว่า ตอนที่พระพุทธเจ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ แล้วตอนที่ พระอะไรนะ พระทีปังกรจะข้ามโคลน แล้วไปนอนเอาผมให้เหยียบน่ะ นั้นน่ะ ทิเบตมาจากตรงนั้นล่ะ

นอนให้พระพุทธเจ้าเหยียบไง อ้อ ถ้าอย่างนั้นปั๊บ เขาก็ปรารถนาพุทธภูมิใช่ไหม เพราะพอพระพุทธเจ้าท่านได้เหยียบข้ามไป ก็พยากรณ์ว่า ต่อไปอนาคตกาลจะได้เป็นพระพุทธเจ้า มีชื่อว่า “สมณโคดม”

ทีนี้พอเราไปอ่านพระไตรปิฎกกันเขาก็เลยนอนๆ แล้วพวกนี้เขาจะปรารถนาพุทธภูมิ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ หมายถึงว่า ในเมื่อศาสนายังไม่มี เราก็ปรารถนา เราก็สร้างคุณงามความดีไป แต่ในปัจจุบันถ้ามันมีอยู่นี่ เพราะพุทธภูมินะพอถึงที่สุด หลวงปู่มั่นทำไมกลับล่ะ ถ้าปรารถนาพุทธภูมิ มันก็ต้องตายเกิด ตายเกิด แล้วพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ ถ้าพยากรณ์กลับไม่ได้ ยังจะไปอีกนะ คิดดูสิ นี่ ๔ อสงไขย ๘ อสงไขย ๑๖ อสงไขย ยังไปอีก แบบว่า ไม่มีปลายทางเลยน่ะ

แต่ถ้าในปัจจุบันนี้เรามากลับ เราละสิ่งนี้ เพราะพุทธภูมิที่สร้างมานี่มันมีผลมหาศาล ผลมหาศาลให้หลวงปู่มั่นท่านมีเชาวน์ปัญญา เชาวน์ปัญญาคือตามความคิดตัวเองทัน ทันทุกอย่างเลย และบริหารจัดการความคิดตัวเองได้ดี พอกลับนี่มันก็กลับได้

พอกลับได้ปั๊บ สร้างปัญญาของท่านเอง ท่านสิ้นกิเลสในชาตินี้ แล้วสิ้นกิเลสในชาตินี้ที่ว่าคู่บารมีมาต่อว่า เพราะสร้างพุทธภูมิมาด้วยกัน ดูพระพุทธเจ้า เจ้าชายสิทธัตถะก็มีนางพิมพา หลวงปู่มั่นท่านก็มีคู่ของท่าน

แต่ขณะที่มาเกิดในชาตินี้ ถ้าชาตินี้ หลวงปู่มั่นไม่สำเร็จมาสร้างอำนาจวาสนาอีก นี่พุทธภูมิอีกชาติหนึ่ง คู่บารมีก็อยู่ยังไม่เสวยภพ แต่พอหลวงปู่มั่นสำเร็จปุ๊บ มันสะเทือนโลกธาตุหวั่นไหว กระเทือนในสายบุญสายกรรม นี่คู่บารมีมาต่อว่าเลยนะ

“อ้าว ก็พาสร้างมาจะเป็นพระพุทธเจ้า แล้วก็จะไปเป็นนางพิมพา แล้วนี่สำเร็จไปแล้ว มันก็เคว้งคว้างน่ะสิ”

น้อยอกน้อยใจ หลวงปู่มั่นก็เลยเทศน์ไง

“ที่สร้างมาก็สร้างมาแต่สิ่งที่ดี สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้ามันก็พระอรหันต์เหมือนกัน แต่อำนาจวาสนามันจะมหาศาล แต่ถ้าสำเร็จในชาติปัจจุบันนี้ มันก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน คิดว่าเป็นพระอรหันต์เหมือนกันเพราะมันสิ้นกิเลสได้เหมือนกัน”

การสร้างกันไปมันยังอีกยาวไกล ยังอีกยาวไกล สมบัติปัจจุบัน สมบัติข้างหน้า เอาสมบัติตรงนี้ แล้วสิ่งที่พามามันก็เป็นคุณงามความดี อย่างหลวงปู่มั่น ท่านปรารถนาพุทธภูมิ เวลาที่ท่านสร้างคุณงามความดี ท่านพลิกมา

ไอ้อันนี้ที่ เราถึงบอก กึ่งพุทธกาลที่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ๆ ไว้นี่ ถ้าไม่มีตรงนี้นะ พวกเรามันไปกันยากนะ ในปัจจุบันนี้ เรายกหลวงปู่มั่นกรรมฐานไว้ การปฏิบัตินอกกรรมฐานเรานี่ ทุกคนก็ปฏิบัติทั้งนั้นน่ะ ทุกคนก็ว่าสายตรง ทุกคนก็ว่าของตัวเองถูก แล้วมีใครได้ผลบ้าง

อ้าว ตำราก็มี พระไตรปิฎกก็ตู้เดียวกัน แล้วดูนอกวงกรรมฐานเรานี่ ดูคนที่ปฏิบัติมันไปถึงไหนกัน แล้วมาในวงกรรมฐาน ในวงกรรมฐานหมายถึงว่าในสายหลวงปู่มั่น เพราะหลวงปู่มั่นคอยเขก คอยดึง อย่างที่หลวงตานี่ใครๆ ก็ว่าดุ หลวงตาไปไหนพระเรียบร้อยหมด โอ้โฮ! เป็นผ้าพับไว้เลยนะ ลับหลังอย่างกับลิง

นี่ เรามีครูบาอาจารย์ คอยเขก คอยดึงพวกเรากันมา ดึงพวกเรามา นี่ไงศาสนาเจริญตรงนี้ไง แล้วนี่พระพุทธเจ้าพยากรณ์ไว้ ขนาดพยากรณ์ไว้ วุฒิภาวะอย่างพวกเรานี่ยากมาก เพราะยากมากเลย เพราะเราไปรู้ไปเห็นอะไรมา เราว่าสิ่งนั้นถูกต้องหมดน่ะ แต่หลวงปู่มั่นท่านมีจุดยืน ท่านมีวุฒิภาวะ เพราะสร้างพุทธภูมิมา

ท่านถึงพยายามค้นคว้าของท่านจนหลุด ท่านผ่านพ้นไปได้ พอผ่านพ้นไปได้ เวลาหลวงตาท่านเล่านี่ คนไปนวดเส้นท่านจะเอ็ดประจำท่านจะสอน ท่านจะพูดถึงว่า เวลาท่านทุกข์ยากมาอย่างไร ท่านทำอย่างไรมา ท่านทำเป็นตัวอย่างมา แล้วพระนี่อย่าให้ออกนอกลู่นอกทาง เพราะการออกนอกลู่นอกทางนี่ มันเหมือนกับลูกเรานี่ปล่อยให้เล่น ปล่อยให้ไปติดเชื้อโรค ดูสิไข้หวัดนก ทุกคนเอาผ้าปิดปากทั้งนั้นนะ พอไข้หวัดนกกูสูดแม่งเลย ไข้หวัดนกกูชอบ

นี่ก็เหมือนกัน ท่านคอยบอกว่า ท่านลำบากมาๆ นี่ก็เหมือนป้องกันๆ ไง ขนาดคนที่มีวุฒิภาวะขนาดนั้นนะ เป็นผู้นำขนาดนั้น ยังรักษาขนาดนั้น แล้วอย่างถ้าพวกเราไม่มีนะ ดูสิ เดี๋ยวนี้พระที่วัดใหญ่ เห็นไหม กลัวแต่พระจะลำบาก ต้องบริการเต็มที่ ฉันเสร็จก็ห้องแอร์แล้วหลับแม่งไปเลย แล้วจะมีปฏิบัติเหลือมากี่คน

เนี่ยสิ่งที่ทำมาเพราะท่านมีบารมีอันนั้น ประสาพวกเรานะ พูดถึงเราเกิดมานี่จังหวะดีมาก จังหวะที่มาเจอเหตุการณ์อย่างนี้ ถ้าจังหวะเราไม่ดี ขนาดจังหวะดี เรายังจับผลัดจับผลูเลย ไปทางไหนบ้าง อันนี้ไม่มาบ้าง อันนี้พูดถึงพุทธภูมิ

ถาม : บุคคลเช่นไรควรจะปรารถนาพุทธภูมิ?

หลวงพ่อ : ก็แล้วแต่ที่จะปรารถนาแล้ว ความปรารถนานี่มันอยู่ที่ความชอบ เพราะมันมีคนมาหาเราเยอะมาก หลวงพ่อทำไม ผมอยากเป็นพระพุทธเจ้า หลวงพ่อทำไมผมชอบเรื่องอย่างนี้ล่ะ ความปรารถนาของเขานี่ไอ้นี่มันมีเชื้อไข มันมีความตกผลึกของใจไง

ใจเราถ้ามีอะไรตกผลึกอยู่ มันจะคิดถึงอย่างนั้น เหมือนที่เราชอบน่ะ บ้า ๕๐๐ จำพวกน่ะ ชมรมอะไรก็บ้าอย่างนั้นน่ะ พอเข้าชมรมก็เข้าสโมสรบ้า บ้า ๕๐๐ จำพวก ไอ้นี่มันก็มีความตกผลึก มันมีเด็กหลายคนมาคุยกับเรานะ ทำไมผมอยากเป็นพระพุทธเจ้า ทำไมผมมีความคิดอย่างนั้น

เรารู้เลยนี่ มันมีเชื้อไขมา แล้วผมควรทำตัวอย่างไร เพราะปัจจุบัน ถ้าเขาเริ่มประพฤติปฏิบัติเขาจะได้ผลมากน้อยขนาดไหนเขาก็ได้ของเขาไป แต่ถ้าเขามีความปรารถนาอย่างนั้น เขาสร้างคุณงามความดีของเขา ก็ต้องทำอย่างนั้นไป

เพราะต้องทำอย่างนั้นไป คนนี้ทำไมถึงปรารถนาเพราะเขาอยากเป็น

๑. ความอยากเป็น

๒. เพราะมันมีเชื้อเก่า

มันมีเชื้อเก่า เพราะเราเคยตั้งปฏิภาณมาอย่างนั้น ถ้าตั้งปฏิภาณมาอย่างนั้น ถ้าอยากปฏิบัติมันก็ต้องเหมือนอย่างหลวงปู่มั่น ต้องหาทางพลิกให้ได้ ถ้าพลิกได้มันก็พ้นเลย เพราะถ้าเราสร้างอย่างนั้นมา มันจะมีฐานนะ ฐานให้เราใช้ปัญญาได้ละเอียดขึ้น เรามีความรอบคอบมันจะมีคุณธรรม

ถาม : เทวดาสามารถบรรลุธรรมได้หรือไม่?

หลวงพ่อ : เวลาเราพูดน่ะ มนุษย์สำคัญที่สุดๆ มนุษย์เท่านั้นที่จะบรรลุธรรม ถ้าบอกว่า เราหลุดปากไปเลยว่า เทวดาบรรลุธรรมไม่ได้ นะ มันขัดแย้งกับพระไตรปิฎกทันทีเลย พระไตรปิฎกบอกว่า เทวดามาฟังเทศน์พระพุทธเจ้า สำเร็จกันที เป็นแสน เป็นหมื่น เยอะแยะไปหมด เทวดาน่ะสำเร็จได้ เทวดาน่ะบรรลุธรรมได้

เทวดาบรรลุธรรมได้ แต่! แต่ส่วนใหญ่แล้วนี่ ส่วนใหญ่ที่เทวดาบรรลุธรรมเป็นแสน เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ทีหนึ่ง เทวดาบรรลุธรรมมากเลย บรรลุธรรมเยอะมาก เพราะเขาต้องสร้างบุญมา พอการสร้างบุญมานี่ เหมือนกับเราเป็นเทวดา พอเราเป็นเทวดา เราอยู่ในสมบัติที่เป็นทิพย์ สมบัติที่เป็นทิพย์มันจะมีความสุขนะ

พอมีความสุขขึ้นมา มันจะเพลิน พอมันเพลิน คิดดูสิ เรามีความสุขแล้วนี่ เดี๋ยวๆ ในปัจจุบันนี้เอ็งลองชวนเพื่อนไปวัดสิ ก็กูเป็นคนดีแล้วทำไมต้องไปวัดล่ะ ก็กูดีแล้ว ขนาดนี้มันทุกข์จะตายห่านะ มันยังว่ามันดีแล้วเลย แล้วเป็นเทวดาไปมีแต่ความสุขน่ะ นี่ไง มันอันตรายตรงนี้ไง เทวดาที่จะมาฟังธรรม ไม่ใช่จะมาทั้งหมดนะ มันมาไม่หมด มันมาแต่น้อย

ฉะนั้นถ้าพูดถึงมาฟังธรรม พอเทวดาฟังธรรมนี่ พอฟังธรรมไปแล้ว ถ้าบรรลุธรรม จิตใจมันต้องละเอียดอ่อน เพราะอะไรรู้ไหม เพราะเทวดามานั่งที่ไหนก็นั่งได้ ไม่มีที่แคบ ไม่มีที่กว้างต่างๆ สำหรับเทวดาเลย เทวดาไปได้หมดน่ะ แล้วเทวดาไม่มีกลิ่นตัว เทวดาไม่มีความอับชื้น พวกเรานี่มีหมดน่ะ คำว่ามี มีหมายถึงว่าเราจะบอกว่า เรามีโจทย์มากกว่า เรามีส่วนที่เราจะได้พิจารณามากกว่า เพราะมนุษย์เรา เอ็งไม่กินข้าวหิวนะ เอ็งไม่อาบน้ำ ๔-๕ วันเหม็นเลย เทวดาไม่มีตรงนี้

พอไม่มีตรงนี้ ก็ไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ เขาไม่มีสิ่งเปรียบเทียบ เขาไม่มีความทุกข์บีบคั้นเขา นี่มนุษย์ได้เปรียบก็ตรงนี้ แต่มนุษย์น้อยใจนะ อยากเป็นเทวดา กูจะได้เป็นทิพย์ จะได้ไม่ต้องอาบน้ำ อ้าว มนุษย์ทุกคนที่เกิดอยู่นี่นะ ที่เรามาทุกข์ๆ กันอยู่นี่ มนุษย์ทุกคน สัตว์ทุกตัว เคยเกิดเป็นเทวดามา

คำว่า “เคยเกิดเป็นเทวดามา” เพราะอะไร เพราะการเวียนตายเวียนเกิดในวัฏฏะนี่ไม่มีต้น ไม่มีปลาย คำว่า ไม่มีต้น ไม่มีปลาย คือ ย้อนหลังไปจนนับไม่ได้ แล้วสัตว์ตัวไหน มนุษย์คนไหน ไม่เคยเกิดเป็นเทวดา ไม่เคยเกิดในนรกอเวจี ดวงวิญญาณทุกดวงวิญญาณนี่เคยเป็นเทวดามา เรายืนยัน เรานั่งกันอยู่นี่เคยเป็นเทวดามาแล้ว เคยตกนรกอเวจีมาแล้ว เคยเป็นมาทุกอย่าง ที่นั่งกันอยู่นี่ ไม่ใช่นั่งในใลกนี้ด้วย ในโลกของการเกิดและการตายนี่ ทุกดวงวิญญาณที่มีการเกิดและการตาย เคยผ่านสวรรค์เคยผ่านนรกมาทั้งนั้น

แล้วในปัจจุบันนี่ เรามาพบศาสนา เราจะไปห่วงอะไรกับเทวดา เราถึงบอก ถ้าพูดถึงเขาเจอเทวดา เขาเจออะไร เขาตื่นเต้นกัน เราเจอเทวดาแล้วถามว่า

“เทวดาจะเอาอะไรกับกู กูจะให้ แล้วเทวดาอยากได้อะไร”

นี่พวกเราเจอเทวดานี่ อู้ย! จะขอนั่นขอนี่ แล้ว กริ๊งนะ..ถ้าเจอเทวดา จริงๆ ไปแล้ว

วิ่งมาเต็มเลย วิ่งมาหาเลย “มาทำไม มาเอาอะไร” เขาจะมากราบเฉยๆ ทีแรกวิ่งมากูตกใจ เอ้ยๆ วิ่งมาทำไม วิ่งมาแล้ว อู้ฮู เหมือนเห็นม็อบไหม มันตื่นคนนะ แต่นี่ อู้หู แต่นี่วิ่งมาเป็นกลุ่ม เราก็หันมองดูใครวะ อ๋อ กูเอง “จะเอาอะไร”

มันเป็นวัฏฏะ มันเป็นสิ่งที่บุญกรรมที่เราหมุนเวียนไป ไม่มหัศจรรย์อะไรเลยน่ะ มันเป็นคราว มันเป็นเวลาที่เราต้องเกิดต้องตายไปอยู่ในวัฏฏะไหนเท่านั้นเอง เราไปเกิดในภพชาติใดเท่านั้นเอง นี่ไง วัฏฏะที่มันหมุนไป แล้วเราก็ต้องเวียนตายเวียนเกิดเป็นธรรมชาติของมัน

แต่ในปัจจุบันนี่ แล้วมันไม่มีอะไรสามารถจะเอาเราออกจากตรงนี้ได้ บุญก็ไปดี บาปก็ไปชั่ว เท่านั้นน่ะ มีธรรมะน่ะ

“มีการภาวนาเท่านั้นเองที่จะเอาเราออกจากวัฏฏะตรงนี้ได้”

นี้เทวดาเขาไม่รู้ตรงนี้ เทวดาที่มาฟังธรรมๆ ก็ฟังเรื่องอริยสัจนี่ เพราะเขาก็ได้ผลของเขา อย่างพวกเรานี่ เป็นเศรษฐี มีเงินเยอะแยะเลย แต่ซื้อมรรคผล นิพพานไม่ได้ แล้วทำไงล่ะ ก็เขามีฤทธิ์ มีฤทธิ์ เขามีบุญหมดนะ แต่อริยสัจ กูไม่รู้ แล้วทำอย่างไร ก็มาฟังพระที่รู้จริง ทำอย่างไร จะทำอย่างไรจะให้ได้

แล้วถ้าเขาฟังแล้ว ในที่สุดแล้วเขามีสตางค์ขึ้นมามหาศาลเลย เรามีสิ่งทุกอย่างเลย แล้วก็บอกว่า “ให้ปฏิบัติเอง งง ไหม” ก็เหมือนเทวดานี่มีฤทธิ์มากอะไรมาก พอปฏิบัติ พอให้รู้ถึงทุกข์แล้วทุกข์อยู่ที่ไหนล่ะ ก็มันเป็นทิพย์หมด ก็ทุกข์ไม่เห็นเลย สอนคนจนง่ายกว่าสอนคนรวยนะมึง คนรวยทิฐิเยอะฉิบหายเลย คนจนนี่ฟังอะไรก็ คร้าบๆ เทวดาก็เหมือนกัน

เทวดาบรรลุธรรมได้ไหม ได้! แต่ สถานะของเทวดาไม่เหมือนเรานี่ เรานี่คิดแทนเทวดาไง เพราะเราทุกข์ เรายาก เราทุกข์ยากเพราะเรามีร่างกาย เรามีกิเลส เราก็อยากพ้นทุกข์ เมื่อเราอยากพ้นทุกข์ปั๊บ เราก็คิดว่า เทวดาก็คิดเหมือนเรา เทวดาอยากพ้นทุกข์อย่างนี้ เทวดานี่เขาไม่ทุกข์เหมือนเรา

เขาทุกข์ตอนไหนรู้ไหม เทวดานี่จะทุกข์ตอนตาย ตอนจะตายทุกข์ทั้งนั้น ตอนหมดอายุขัยนี่ เทวดาปกติก็อยู่เป็นสุขของมัน พอเวลาจะตาย มันก็เหมือนกับลูกโป่งสวรรค์น่ะ เวลาแก๊สมันเต็มมันก็ลอยเต็มที่ใช่ไหม แล้วพอแก๊สมันหมด มันก็จะฟุ๊บๆ แล้วมันก็ตก ทิพย์มันเป็นอย่างนั้นน่ะ

แล้วพอตรงนั้นปั๊บ คิดดูสิ เวลาจะตายมันเหมือนการพลัดพราก เวลาพลัดพราก มันมีความอาลัยอาวรณ์ แล้วพลัดพรากแบบไม่รู้จะไปไหน จะไปไหนกัน นั่นมันจะทุกข์ตรงนั้น แต่โดยปกติแล้วก็อยู่ตรงนั้น แต่โดยปกติก็ทุกข์นะ

ถ้าคนรู้จักคิด หนึ่ง รู้จักคิด แล้วอย่างที่ว่า พระอินทร์ ที่มาใส่บาตรพระมหากัสสปะน่ะ เวลาปกครองเขานี่ เวลาปกครองเขา ดูแล้วนี่มันเปรียบเทียบได้ คนเราถ้าปกครอง แล้วเปรียบเทียบ แต่ถ้ามันไปเพลินอยู่กับสุขอย่างนั้นมันก็ติดไป แต่ถ้าบางคนก็มีได้คิด เป็นเทวดามาแล้วนี่ ถ้าได้สร้างบุญมา อำนาจวาสนานี่มันจะแยกแยะเองว่าอะไรดีหรือชั่ว หรือการกระทำอันนั้น

และถ้าได้จำเป็นไหม ต้องเป็นชั้นภูมิใด?

ชั้นภูมิใดนี่ มันเป็นความละเอียดของแต่ละชั้น ถ้าความละเอียดของชั้นนะ ดูซิ เวลามานี่ เทวดาที่มาหาครูบาอาจารย์นี่ เขามาแต่ละชั้นของเขา ถ้ามาแต่ละชั้น กาลเวลาไง กาลเวลานะ อย่างเช่น ถ้าเรามีบาดแผลสดเราจะเจ็บ ถ้าบาดแผลเราแห้งเราจะไม่ค่อยเจ็บ กาลเวลา ถ้ามากยาวนานขนาดไหน บาดแผลเขานี่มันจะเหมือนลึกซึ้ง

ในสมัยพุทธกาลนะ แบบที่บอกว่ามรรคผลไม่มี มรรคผลไม่มีนี่ มรรคผลมันขาดช่วงนี่ พวกนี้อยู่บนพรหม พออยู่บนพรหมนาน พอมาระลึกอดีตชาติไปนี่ จะบอกว่าคนมี ๒ ชาติ ๓ ชาติ ชาติจะไม่มีนี่ มันต่อ บางทีมันไม่สืบต่อ แต่มีอยู่ แต่ช่วงระยะมันห่าง แล้วถ้าพูดถึง ถ้ามันสาวไป มันจะสาวไปได้

แต่นี่มันสาวไปไม่ได้ มันก็เลยบอกว่า ไม่มี เพราะอะไร เพราะว่าสมัยพุทธกาลนี่ เรื่อง ฌานสมาบัติ เรื่องการระลึกนี่ มันจะมีแบบว่า เป็นด้วยกันทั้งหมด อย่างพระบางองค์นี่ ระลึกได้ร้อยชาติ พันชาติ หมื่นชาติ แสนชาติ แต่บางองค์บอกว่า เฮ้ย ทำไมกูทำได้แค่นี้ๆ นี่มันอยู่ที่ว่า ภพภูมิชั้นไหนด้วย ทีนี้ ภพภูมิชั้นไหนนี่ แต่ถ้าพูดถึงว่า ถ้าได้ จำเป็นไหมว่าต้องเป็นชั้นภูมิใด

ไม่! เพียงแต่ว่า ยิ่งภพภูมิมาก ภพภูมิอะไรนี่ มันความละเอียดลึกซึ้ง พระพุทธเจ้าจะเทศน์ให้มันเข้าถึงไง มันเหมือนเรานี่ ความละเอียดลึกซึ้งชั้นไหน ความละเอียด ลึกซึ้ง ถ้าจำกัดภพภูมิเลยนี่ ทีนี้ภพภูมิใช่ว่าจะจำกัด ดูอย่างนี่ อย่างที่ว่าทำบุญแล้วนี่ เปรตที่รับบุญได้ กับรับไม่ได้ล่ะ แล้วทำไมเราอุทิศส่วนกุศลทั้งหมดล่ะ

เขาบอกอุทิศส่วนกุศลแล้วมันไม่ได้ เขาไม่ได้รับๆ ไอ้ได้รับ ไม่ได้รับนี่ มันเป็นรูปธรรมเลย ได้รับมันส่งถึงเลย แต่การอุทิศส่วนกุศลของเรานี่ มันได้รับไม่ได้รับนี่ มันกลับมาที่เรา เวลาเราทำบุญกุศล อุทิศนี่ อุทิศให้ตั้งแต่ เจ้ากรรมนายเวร พ่อแม่ ปู่ย่าตายาย ทุกๆ ภพทุกๆ ชาติ นี่อุทิศส่วนกุศล ทุกๆ ภพทุกๆ ชาติ นี่ เพราะเราเกิดเวียนตายเวียนเกิดมา มันกี่ภพกี่ชาติล่ะ

ทีนี้พอเราอุทิศส่วนกุศลไป คำว่า พ่อแม่ ทุกๆ ภพ ทุกๆ ชาติ เขาไปอยู่เป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม กันทั้งนั้นแหละ นรกอเวจี หรือว่าทุกภพทุกชาติ แต่เราอุทิศส่วนกุศลของเราไปนี่ กับสายบุญสายกรรมของเรานี่ มันได้ประโยชน์กับเรา ใครรับได้ไม่ได้ มันก็เรื่องสิทธิที่เราส่งให้น่ะ เพราะการส่งไปรษณีย์นี่ เราต้องเสียค่าไปรษณีย์นี่เยอะแยะเลย แต่การอุทิศส่วนกุศลน่ะ มันไม่ได้เสียค่าไปรษณีย์ จิตหนึ่ง พอจิตหนึ่ง คิดถึงปั๊บมันไปหมดเลย อุทิศหมดเลยๆ เพราะจิตหนึ่ง พอจิตหนึ่งมันไม่มีวันจบ นามธรรมไง แบบว่าความรู้สึกมันจะมีตลอดเวลา แล้วอุทิศเท่าไรมันไม่มีวันหมด แต่ถ้าเราไม่อุทิศมันก็มีอยู่เท่านั้น

แต่ถ้าอย่างนี้ปั๊บ มันทำให้ ให้มันได้ประโยชน์มา ภพภูมิใดไง เพราะเวลาทำบุญนี่จะเถียงกัน เวลาปฏิบัติจะเถียงกันตรงนี้ อุทิศส่วนกุศลนั้นได้ อันนี้ไม่ได้ ไอ้คนนั้นอุทิศได้ พระองค์นั้นสอนว่าไม่ได้ พระองค์นั้นสอนว่าได้ อุทิศส่วนกุศลนี่นะ ตั้งแต่ทุกภพทุกชาติ สรรพสัตว์ทั้งหลาย มันสร้างบารมีของเรานะ

การที่อุทิศส่วนกุศลนี่ เหมือนกับคนๆ หนึ่งนะ เป็นคนที่มีกิริยามารยาทดีมาก ไปเจอคนไหนก็ขอโทษ ขอโพย ขอทางนี่ แล้วเอ็งคิดว่าคนๆ นั้น ไปที่ไหนจะมีคนรังเกียจ มีคนรังแกไหม

อีกคนหนึ่งกร่างมากเลย ไปที่ไหน กูใหญ่คนเดียว กูจะเหยียบหัวเขาไปเลย คนๆ นั้น ไปไหนเขาจะให้มันไปไหม อุทิศส่วนกุศลมันเป็นเหมือนอย่างนั้นล่ะ เราอุทิศให้เหมือนกับเรามารยาทสังคมดี แล้วพอไปภาวนาที่ไหน เทวดา อินทร์ พรหมดูแลรักษา ผลมันกลับมาตรงนี้ อุทิศส่วนกุศลไปให้มากที่สุด เขาว่า อุทิศส่วนกุศลได้ไม่ได้ ได้ไม่ได้นั่นมึงคิดน่ะ แต่การกระทำของเราทำเพื่อเรา เพื่อจิตของเรา เพื่อคุณงามความดีของเรา

ถาม : บทสวดกรณียเมตตสูตรบางท่อน ไม่ใช่พุทธพจน์ ภิกษุจะสมควรสวดท่อนนั้นต่อไปหรือไม่?

หลวงพ่อ : กรณียเมตตสูตร ไอ้นี่ อะไร สวดมนต์ โย จักขุมาฯ ร. ๔ เป็นคนแต่ง บทสวดมนต์หลายๆ บท เพิ่งมาแต่งเอาตอนหลังนี้เอง ส่วนใหญ่บทสวดมนต์มันจะเป็นคำเทศน์ของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าจะสอนพระ

ดูอย่าง กรณีพระพุทธเจ้าสอนพระองคุลิมาล แล้วพูดถึงพระองคุลิมาล เราก็มาสวดกันเป็น คาถาคลอดลูกน่ะ เพราะองคุลิมาลนี่เป็นพระที่ทุกคนกลัวมาก เพราะฆ่ามา ๙๙๙ ศพน่ะ พอบวชเป็นพระอรหันต์แล้วนี่ กิตติศัพท์มันแรง พอใครเห็นพระองคุลิมาลปั๊บจะวิ่งหนีหมดเลย นี่กลัวมาก เป็นพระอรหันต์ไม่ทำใครแล้ว แต่กิตติศัพท์ คนก็ยังกลัวอยู่

วันนั้นบิณฑบาตไป ไปเจอคนท้อง พอคนท้องเห็นพระองคุลิมาลแล้วแทบช็อค วิ่งหนี หนีไม่ทัน พระองคุลิมาลเลยบอกว่า เธอจงคลอดตามสะดวกเถิด คลอดง่ายเถิด แล้วคลอดง่าย ตั้งแต่นั้นมา ไอ้กิตติศัพท์อันนี้ คาถาคลอดลูก

คาถานี่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า ฉะนั้น พระควรสวดไหม ไอ้นี่มันอยู่ที่ว่า พระองค์นั้นรู้หรือไม่รู้ มันสวดได้น่ะ อย่างกรณี “ยถา วาริวหา ปูรา ปริปูเรนฺติ สาครํ” ยถานี่ เพิ่งมาแต่งเมื่อเร็วๆ นี้เอง

เพราะเดิมที การให้พรในสมัยโบราณ ในสมัยพุทธกาล แบบว่า ให้ใช้พระให้ใช้ปฏิภาณให้พรญาติโยม แล้วพอสุดท้ายแล้วนี่ มันแบบว่า พระที่ดีก็ให้พรที่ดี โทษนะ เราเป็นพระลามก เราให้พรเป็นลามก วุ่นไปหมดเลย

สุดท้ายเถรสมาคม เลยบัญญัติ แต่งขึ้นมาว่า “ยถา วาริวหา” บุญกุศลที่เป็นส่วนเหมือนเม็ดฝนตกลงมาสะสมแล้วจึงมากขึ้น งั้นทุกคนให้พระให้พรตรงนี้ คือแต่งมาให้เสร็จเลย แต่พระสมัยพุทธกาลนั้น อยู่ที่ ปฏิภาณของแต่ละองค์ที่จะให้พรนะ

การให้พรคือการเทศน์ในสมัยพุทธกาล แต่สมัยนี้ การให้พรคือเราไปรับพรกัน เราก็ว่า ทำบุญแล้วต้องให้พระให้พร ถ้าให้พรนะ ดีที่ว่า ครูบาอาจารย์ท่านใจเป็นธรรม มันออกมาจากใจนั้นมาทำประโยชน์กับเรานั่นแหละ อันนี้ เป็นส่วนความเห็นนะ

ดูอย่างกรณี พุทโธๆ เรา พุทโธ นี่ เป็นพุทธานุสติ ก็เป็นกรรมฐานห้องหนึ่ง มรณานุสติกรรมฐานห้องหนึ่ง แล้วอย่างที่คำบริกรรมของเขาต่างๆ นี่ นั่นมันไม่มีในพระไตรปิฎกแต่เขาก็ทำของเขา แล้วจิตสงบได้ไหม ได้! จิตสงบนี่ได้

แต่นี่พูดถึงวุฒิภาวะ อย่างมองแบบหนังสือ ถ้าคนเคารพบูชามันจะลงที่ใจ มันจะเอาตรงนั้นไง เอาสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน แต่สิ่งที่พระพุทธเจ้าสอนมันก็เข้าถึงเลย อย่างสิ่งที่พระพุทธเจ้าสอน อย่างที่ มหายานพูด

“เจอพุทธะที่ไหนให้ฆ่าพุทธะก่อน เจอพุทธะที่ไหนฆ่าพุทธะก่อน”

ถ้าเราฟังโดยเถรวาท เราก็ฟังโดยความเห็นของเรานี่ โอ้! เราเคารพพระพุทธเจ้า ทำไมจะมาฆ่าพระพุทธเจ้าเราได้อย่างไร มันเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ที่เราจะฆ่าพระพุทธเจ้า แต่ลองปฏิบัติไป แล้วมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ พอเราไปเจอพุทธะเราไม่รู้จักพุทธะหรอก

อย่างเช่นหลวงตานี่ เรายกหลวงตาประจำ ระดับของท่าน ความผ่านของท่าน เวลาท่านพิจารณาของท่านไป จนจิตมันปล่อยวางหมดเห็นไหม ท่านเพ่งภูเขาเลากา ไม่ใช่เพ่ง ท่านมองไปเห็นทะลุหมดเลย เพราะจิตมีกำลังมาก

พอจิตมีกำลังมาก “เอ๊ะ จิตเราทำไมมหัศจรรย์ขนาดนั้น ทำไมจิตเรามหัศจรรย์” นั้นน่ะ พุทธะ นั้นน่ะจิตเดิมแท้ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นั้นน่ะพุทธะ แต่ไม่รู้จักพุทธะ แล้วไม่ได้ทำลายพุทธะ ก็เลยไปติดในพุทธะ ไปติดตรงนั้นน่ะ แล้วเจอพุทธะที่ไหนให้ฆ่าพุทธะก่อน นี่ไปเจอยังไม่รู้ว่าเจอนะ ไปเจอพุทธะยังคิดว่าพุทธะเป็นนิพพาน เจอปั๊บก็ไปติด ติดว่ามันมหัศจรรย์ เราไม่เคยเห็น มันจะมหัศจรรย์มาก

แต่พอไปติดแล้ว หลวงตาท่านบอกว่า ท่านติดอยู่พักหนึ่ง ธรรมเตือน ธรรมะเตือน

“มีความสว่างไสวที่ไหน ความสว่างนั้นต้องมีจุดและต่อม”

จุดและต่อมนั้นคือภพ ท่านบอกธรรมะมาเตือนขนาดนั้นยังงง งงไปอยู่ ๘ เดือนนะ แต่พอถึงที่สุดแล้วก็กลับมา นั่นแหละมาฆ่าพุทธะ พุทธะคือ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ทำลายผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน นี่พระอรหันต์ถึงไม่มีจิตไง ไม่มีจิตหรอก ถ้ามีจิต มีจิตคือมีสมมุติ มีจิตคือมีที่ตั้ง

หลวงตาบอกว่า ของท่านเป็นธรรมธาตุ เป็นธรรมธาตุ เป็นธรรมะ เป็นธรรมที่เหนือธรรมชาติ ธรรมะแท้ๆ แต่ขณะที่เราประพฤติปฏิบัติกันนี่ มันเป็นบัญญัติ มันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า มันก็เหมือนอย่างที่เราปฏิบัติไปนี่ ปัญญาเราเกิด สมาธิเราเกิด มันอยู่กับเราจริงไหม มันเกิดขึ้นมาเราสร้างใช่ไหม เราพยายามสร้างขึ้นมา แล้วที่เขาบอกว่า ไม่ให้สร้างให้มันเป็นไปเอง มันจะเป็นไปเองไม่เป็นไปเอง จิตเราถ้าเรากำหนดแล้วมันจะเป็นอย่างนั้นไปหมดน่ะ นั่นคือการสร้าง นั่นคือการทำ

พอการสร้างขึ้นไป พอถึงที่สุดแล้วมันทำลายตัวมันเอง ทำลายตัวมันเองขึ้นไป จนถึงที่สุด ทำลายจนไม่มีสิ่งใดเหลือเลย นั้นน่ะคือสิ้นสุด สิ้นสุดแห่งทุกข์ ถ้าไม่ได้ฆ่าพุทธะ ไม่ได้ฆ่าพุทธะ ไม่ได้ฆ่าผู้รู้ ผู้รู้ เรือนว่าง มีเราอยู่ เราอยู่เราพุทธะอยู่ในนั้น เราฝังอยู่นั้นน่ะคือตัวเรา แล้วพอทำลายตัวนี้ปั๊บ นี่สิ้นสุด เห็นผู้รู้ที่ไหน เห็นพุทธะที่ไหนให้ฆ่าพุทธะก่อน พูดอย่างนี้ปั๊บ เวลามหายานเขาพูดอย่างนี้ เขาพูดเป็นโวหาร เขาพูดเป็นคำสอน แต่เราไปเอาโวหารของเขานี่ ไปเอาคำสอนของเขานี่ มาเป็นผลไง

ก็เลยบอกว่า โอ๊ย ลัดสั้น สะดวกสบายๆ คนมีกิเลสนะ กิเลสมันเหนือเราตลอด แล้วมันเอาชนะเราตลอด แล้วมันมีอะไรสะดวกสบาย คนมีก็ทุกข์ คนจนก็ทุกข์ ใครก็ทุกข์ทั้งนั้นแหละ คนเกิดมาไม่ทุกข์ไม่มี แล้วเมื่อทุกข์มันมีทำไมไม่แก้ไขตรงนั้น ถ้าทุกข์มันมี แก้ไขตรงนั้น แก้ไขตรงนั้นปั๊บเราจะได้ประโยชน์

แล้วอย่างในปัจจุบันนี่ เราตั้งใจตรงนี้ อย่างที่คิดนะ มันเป็นความเห็น มันเป็นสิ่ง.. หลวงตาท่านพูดอย่างนี้ ถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรมจะไม่เชื่อไม่ฟังกัน ถ้าไม่ใช่สายบุญสายกรรมมันจะไม่เชื่อไม่ฟังกัน มันอยู่ที่วาสนานะ มันก็เป็นวาสนา มันเป็นวาสนานะ

เวลาเราพูดนะ บางทีถ้าเราจะพูดให้ถึงใจเราไง เราอยู่กับหลวงปู่จวนน่ะ เวลาคนเขาไปถาม ว่าทำไมท่านพูดอย่างนั้นน่ะ ท่านบอก ถ้าให้พูดแบบเรียบร้อย ท่านไม่เทศน์ดีกว่า คือมันไม่ถึงใจไง มันไม่ถึงใจคน เหมือนอย่างเวลาเราทำอะไร มันไม่ถึงใจ ไม่ถึงใจคือเทศน์ออกมาแบบครึ่งๆ กลางๆ ไง

แต่ถ้าพูดให้ถึงใจนะ มัน โอ้โฮ แล้วมันไหลเลยนะ มันไหลไปเต็มที่เลย แล้วถ้าพูดถึงเวลาเราปฏิบัติกันน่ะ เรามีครูมีอาจารย์ เราจะวิ่งเข้าไปหาที่นั่นเลย เวลาหลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์ โอ๋ย พระที่อยู่กับหลวงปู่มั่นนะ เฮ้ย ฟ้าผ่าเว้ย ฟ้าผ่า ฝนตกแล้ววิ่งเข้าไปใหญ่เลย เขาวิ่งหากันอย่างนั้น แต่ถ้ามันไม่ใช่สายบุญสายกรรม มันก็มองกลายเป็นการกล่าวโทษกัน อะไรกัน มันถึงต้องเป็นสายบุญสายกรรม

อันนี้มันเป็นสิ่งที่เราสร้างมา แต่ในปัจจุบันนี่ถ้าเราจี้เข้าไปให้ตรงตรงนั้น มันจะเป็นประโยชน์ตรงนั้น มันจะเป็นความดีของเรานะ ความดีจากข้างนอกนี่ เราสร้างของเรา ความดีจากข้างใน ความดีจากข้างใน..

กลับมาที่หนังสือพุทธวจนะอีกรอบหนึ่ง เราคิดเป็น ๒ ประเด็นนะ ประเด็นหนึ่ง เขาจะมาวัดภูมิเรา ว่าเอาอันนี้มาเราจะตื่นเต้นไหม เพราะเขาบอกว่าได้ยินกิตติศัพท์แล้ว อะไรมาก็ด่าหมดเลย เอาพระพุทธเจ้าไปมันกล้าด่าไหมวะ (หัวเราะ) มันคงคิด เอาพระพุทธเจ้าไปมันจะกล้าไหม โห เมื่อกี้ เต็มๆ เลยล่ะ ถ้ายิ่งพระพุทธเจ้านี่ สาธุนะ ยกไว้ เรายกไว้บนหัวเลยล่ะ อันนี้ อ้างว่าพระพุทธเจ้านี่ เราจะกลัวไหม อ้างพระพุทธเจ้าไง ว่าต้องเป็นพุทธพจน์ทั้งหมด ยิ่งเราเปิดอ่าน ประสาเรานี่นะ คนไม่เป็นทำเนอะ

อย่างเช่นอาหารนี่ แม่ครัวมือเอกทำอาหารอร่อยมากนะ ไอ้เราเห็นเขาทำอาหาร โอ๋ย กูทำให้มึงกินบ้าง มันกินไม่ได้เลยล่ะ กูทำเสร็จออกมามันไหม้หมดเลย ไม่ได้กินน่ะ นี่เหมือนกัน พระพุทธเจ้าแม่ครัวเอก ของท่านเรียบร้อยอยู่แล้ว แล้วเราคิดว่าเราจะทำได้ มันเป็นไปไม่ได้หรอก นี่ด้วยความคิดของทางวิชาการไง

ถ้าพูดถึงทางวิชาการ นี่เราคิดถึง ๒ ประเด็น ประเด็นหนึ่ง เพราะ ซีดีที่ออกไปนี่ คนฟังกันหมดแล้ว เขาก็ไปฟังอยู่ อันนี้ มันเหมือนกับ เขาเรียกอะไรนะ “ข้อสอบ” โดยที่ว่าเราจะสอบผ่านหรือไม่ผ่าน ลองดูว่าเราจะว่าอย่างไร

โธ่ เวลาหลวงตากราบพระนี่ เราจะมองตรงนั้น สมัยก่อน ทำไมท่านกราบพระนี่ โอ้โฮ ซึ้งใจท่านมาก แล้วเวลาที่วัดป่าสุทธาวาสน่ะ หลวงปู่...ที่ว่าเอาดอกไม้ธูปเทียนมาขายน่ะ แล้วท่านไปพูด

“ถ้าท่านอาจารย์ทำอย่างนี้ผมไม่มาก็ได้ ในเมื่อผมเคารพครูบาอาจารย์ของผมน่ะ ผมกราบที่ไหนก็ได้ ไม่มีรูปครูบาอาจารย์ ผมสมมุติขึ้นมาแล้วผมกราบที่ไหนก็ได้ ผมไม่มาก็ได้ ถ้ายังเอาครูบาอาจารย์มาขายกินกันอย่างนี้”

เรานึกถึงครูบาอาจารย์ที่ไหน เราจะกราบที่ไหนก็ได้ ใจมันลงขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องมากราบรูปเคารพที่นี่หรอก แต่ถ้ามันเป็นสิ่งที่ดีเราก็ส่งเสริมกัน แต่สิ่งที่.. แค่ ตอนนั้นขายดอกไม้ธูปเทียน ท่านไม่เห็นด้วย ท่านบอกว่า “เอาครูบาอาจารย์มาเป็นสินค้า”

แล้วท่านก็พยายามไปเตือน เตือนแล้ว อย่างนี้เขาเรียกว่า หลีกแพ่งไง เตือนว่าขายข้างหน้าไม่ได้ ก็ไปขายข้างๆ ขายข้างๆ ไม่ได้ก็ไปขายหน้าประตูไง ท่านก็บอกว่า “ท่านอาจารย์ทำอย่างนี้ผมไม่เห็นด้วยเลย แล้วพอท่านเล่นแรงๆ ไป หลวงปู่...ท่านก็เลยหนีขึ้นไปเหนือ”

นี่ไง เห็นไหม พระพุทธเจ้า เราเคารพทำไมจะไม่เคารพ แต่ทำอย่างนี้มามันบอกหลายอย่างมาก มันบอกถึงวุฒิภาวะของ.. เราดีเราก็เอาคุณธรรมที่ดีออกมาช่วยโลกสิ เขาพูดเมื่อกี้ว่า อาจารย์.....ของเขานี่ ตรวจทานให้นี่ เราดูแล้วไม่ถูกน่ะ

ให้เราตรวจทานน่ะ ผิดไปหมดเลย เพราะภาษาบาลี นี่มันภาษาอังกฤษ แล้วภาษาอังกฤษนี่ เราตีความน่ะ แล้วภาษาอังกฤษ เราแปลออกมาแล้วมันถูกไหม มันอยู่ที่เราตีความใช่ไหม ไม่งั้น เหมือนกฎหมายนี่ ดูนักกฎหมายเถียงกับนักกฎหมายสิ แล้วนี่อย่าคิดว่าตัวเองทำถูกนะ มันเป็นไปไม่ได้หรอก

นี่พอมาอย่างนี้ แต่ประสาเรานะ สำหรับเขานี่ บวกมาก เมื่อกี้พูดไปน่ะ บวกมาก เขาช็อคมากเลย เพราะประสาเราว่า เขาไม่เคยเจอ แบบว่าเวลาพูด มันลงได้ลึกขนาดนี้ ผิดเพราะอะไร ทำไมถึงผิด ผิดอย่างไร แล้วบอกว่า มันสมควร สมควรมากเลย ไอ้พุทธพจน์หรือพระไตรปิฎกนี่ สมควรมากเลยสำหรับทางวิชาการ ปริยัติไง สมควรมากสำหรับปริยัติ

แต่ปฏิบัตินี่ เราปฏิบัติแล้วนี่ ถ้าเราไปติดอยู่นี่ ถ้าปฏิบัติไปติดปริยัตินี่ ไปติดทางวิชาการ มึงจะปฏิบัติได้อย่างไร ขนาดหลวงตาท่านเรียนจบมาแล้ว หลวงปู่มั่นท่านยังให้เก็บใส่ลิ้นชักเลย แล้วให้ปฏิบัติตามความจริงของเราไป

แล้วนี่ วิทยานิพนธ์ของแต่ละบุคคล คือคนประสบการณ์จริงทำได้จริง มันจะเป็นความจริงขึ้นมา เขาต้องกลับไปนอนสะดุ้งหลายคืนเลยล่ะ เพราะเขาไม่เคยเจอ (หัวเราะ) ประสาเรานะ แล้วเราก็พูดกับเขานะ เราสงสารเขาอยู่นะ เราบอกเขาอย่างนี้ เราบอกเขาว่า มีพูดอย่างนี้องค์เดียว ในโลกนี้มีองค์เดียว ในโลกนี้ก็มีองค์นี้องค์เดียวเท่านั้นน่ะไม่มีใครพูดอย่างนี้หรอก เพราะเขาไม่กล้าพูดกัน เขาไม่กล้าพูด

ถาม : เมื่อสักครู่พระอาจารย์พูดถึงเรื่องภพภูมิ ซึ่งต้องสอนนักเรียน ขอทราบ กราบเรียนถามว่า ผู้ที่จะต้องไปเกิดในภูมิของเทวดา แล้วผมจะต้องปฏิบัติอย่างไร?

หลวงพ่อ : ถ้าพูดไปปฏิบัติไม่ได้หรอก ปฏิบัติให้เกิดเป็นเทวดาไม่ได้ เพราะมันติดสินบนไง กรณีอย่างนี้เราจะเถียงกลับ เราเอามาย้อนกลับ เอาไว้ย้อนกลับเวลาพวกโยมนี่ อ่านหนังสือแล้ว ว่าพระศรีอริยเมตไตรยเกิดแล้วนี่ ปฏิบัติแล้วจะปฏิบัติง่าย

ทุกคนก็อยากจะไปเกิดในภพของพระศรีอริยเมตไตรยใช่ไหม ความหมายเราทุกคนอยากไปเกิดในภพพระศรีอริยเมตไตรย เราก็ถามกลับว่า

“แล้วมึงมีสิทธิอะไรไปเกิดล่ะ มึงเอาสิทธิอะไร”

ถ้าจะไปเกิดในภพพระศรีอริยเมตไตรย อย่างนี้เอ็งต้องทำอะไร การเกิดและการตายมันอยู่ที่การกระทำของเรา เอ็งปรารถนาเอ็งอยากไปเกิดในภพพระศรีอริยเมตไตรย แล้วเอ็งทำอะไรถึงจะได้ไปเกิดในภพพระศรีอริยเมตไตรย แต่ถ้าเอ็งทำเหตุให้พอแล้วนะ เอ็งปรารถนาเอ็งจะได้ไปเกิดในภพพระศรีอริยเมตไตรย มันอยู่ที่การกระทำของเราต่างหากล่ะ ไม่ใช่ว่าอยู่ที่อยาก อ่านตำรับตำรานะ พระศรีอริยเมตไตรยแล้วจะได้ไป

นี่ก็เหมือนกัน ไอ้ภพภูมินี่ กรณีถ้าคำถามอย่างนี้ เป็นหมอเป็นครู มันก็เหมือนกับที่ อาจารย์อะไรนะ ที่มาจากวชิระ เขามาถามว่า

“คนตายก่อนตาย ๒-๓ วันนี่ อาการของคนตายจะเป็นอย่างไร แล้วเราจะส่งคนตายให้ไปได้อย่างไร”

เขาว่าเขาจะเอาไปสอนพวกนิสิตแพทย์ สอนพวกพยาบาลเพื่อว่าเวลาคนใกล้ตายจะได้ส่งให้เขาไปดี บอก “มันเป็นไปไม่ได้หรอก คนเราเวลาพะงาบๆ เกือบตายแล้วนะ ตายแน่นอน หมอวินิจฉัยว่าตายแล้วนะ มันยังฟื้นขึ้นมา อยู่ได้ ๔๐ ปีเลย มันอยู่ที่เวรอยู่ที่กรรม”

อยู่ที่เวรที่กรรมที่เขาทำมา แล้วคำว่า อยู่ที่เวรที่กรรมนี่ แล้ววุฒิภาวะของหมอ นี่ วุฒิภาวะของพยาบาลนี่ เขาจะไปเข้าใจเรื่องจิตของ แต่ละดวงวิญญาณได้อย่างไร แล้วเขาจะมาส่งได้อย่างไร บอกคนนี้อยู่ได้อีก ๕ ปีเลย คนนี้ไม่มีอะไรเลย คนนี้แข็งแรงมากเลย เผลอหน่อยเดียวช็อกตายคาเตียงเลย ยังไม่ได้ส่งเลย มันตายไปแล้ว แล้วอย่างนี้จะเอาตรงไหน

ย้อนกลับมาตรงนี้ เพราะทางวิชาการจะเป็นอย่างนี้หมด

แล้วปฏิบัติอย่างไรถึงได้ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม

ถ้าเป็นกรรมฐานนะ เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม พระผู้ที่ปฏิบัติไม่อยากไปมาก เพราะไปเกิดเป็นเทวดา เป็นพรหมนี่ คิดดู เป็นพรหม อย่างน้อย ๘๐,๐๐๐ ขึ้นไป ๘๐,๐๐๐นี่ ศาสนาเรานี่อีก ๕,๐๐๐ ลงมาอีกที โลกกำลังปั่นป่วนเลย เขาไม่อยากไปเพราะเวลามันช้าไง เขาอยากเกิดเป็นมนุษย์ แล้วปฏิบัติให้พ้นทุกข์ การพ้นจากทุกข์นี่สำคัญกว่าการไปเกิดในที่ไหนทั้งสิ้น

นี่พอเกิดเป็นเทวดา คนเราถ้ายังไม่ถึงจะพ้นทุกข์นี่ ทำความดี ความดีให้ผลตอบเป็นความดี แล้วจะปฏิบัติอย่างไรถึงเป็นเทวดา มนุสเดรัจฉาโน มนุสสเทโว มนุษย์เทวดา มนุสสเทโว ร่างกายเป็นมนุษย์จิตใจเป็นเทวดา เทวดาคือการเสียสละ การดูแลสมบัติสาธารณะ ไม่ต้องไปเกิดเป็นเทวดาก็เป็นเทวดาในร่างมนุษย์

ถ้ามันเป็นเทวดาในร่างมนุษย์นี่ เวลาตายไปมันจะไปไหน “สุคโต” ปัจจุบันนี่สุคโต ปัจจุบันนี้มีความสุข ตายไปมันจะทุกข์ได้อย่างไร วันนี้ดีพรุ่งนี้จะลำบากไหม คือก็ปฏิบัติตัวให้ดี ทำตัวให้ดี มันเป็นเทวดาอยู่แล้ว เป็นเทวดาตั้งแต่เป็นมนุษย์ อย่างถ้าบางคน ก้าวร้าว ทำลายเขาทั่วไป มนุสเดรัจฉาโน สัตว์บางตัวนะ ดูหมามันยังกระดิกหาง ดูแลเจ้านายมัน อันนี้ กัดหมดเลยนะ กัดเขาทั่วไปหมดเลยนะ ยิ่งกว่าสัตว์เดรัจฉาน มนุสเดรัจฉาโน ร่างการเป็นมนุษย์ แต่จิตใจเป็นสัตว์ ตายไปก็ตกนรกอเวจี ทำอย่างไร นี่ทำอย่างนี้มันถึงจะเป็นจริง

ถาม : หลวงพ่อ ขอโอกาสครับ การที่หลวงพ่อเทศน์ เหมือนกับการสอนเด็กหัดเดินเกือบตลอดเวลา แล้วหลวงพ่อเบื่อไหมครับ ว่าหลวงพ่อรู้สึกอย่างไร?

หลวงพ่อ : เบื่อ ทำไมจะไม่เบื่อ เบื่อมาก เบื่อมันคืออย่างหนึ่งน่ะ แต่ต่อไปนี่ การสอนมันเหมือนการสอนเด็ก การสอนเด็กก็ต้องสอน เพราะทำไมรู้ไหม เพราะมันเป็นวาสนาของแต่ละบุคคล เราไปสอนที่ธรรมศาสตร์ เด็กที่ธรรมศาสตร์มันมาหาเรา เพราะเด็กวิทยาศาสตร์ธรรมศาสตร์นี่ มันบอกเลยนะว่า

“หลวงพ่อนี่ พูดเร็วมากเลย”

แล้วพูดที เพราะเขาจัดให้พูดครั้งละ ๒ ชั่วโมง ๓ รอบ นี่พูดเป็นชั่วโมงๆ นี่ไม่เหนื่อยเลยเหรอ เขาสงสารนะ เขาบอกเขาเหนี่อยมาก เขาเหนื่อยแทนเราน่ะ บอกว่า “เหนื่อยฉิบหายเลยน่ะ กูน่ะเหนื่อย”

แต่ ! แต่เพราะเราคิดแบบครบวงจรไง แบบครบวงจรหมายถึงว่า ตอนนี้ชีวิตเรายังทำการได้ คือเรายังหนุ่มแน่น พอเรายังหนุ่มแน่น สิ่งใดที่เป็นประโยชน์นี่ เราจะทำไว้ แล้วสิ่งปัจจุบันนี้ เทคโนโลยีมันมี เราพูดไว้มากไว้น้อยขนาดไหนมันอัดเทปไว้ อนาคตตรงนี้จะใช้ประโยชน์ แล้วอย่าหวังว่ากูจะพูดอย่างนี้ได้ตลอดไป อีกหน่อยพอเราแก่เฒ่าแล้วนะ เราจะพูดอย่างนี้ไม่ได้ ร่างกายเราจะไม่ให้

นักกีฬานี่ มันมีแค่ใช้ นักฟุตบอล เวลาของนักฟุตบอลอาชีพนี่ ๕ ปี๑๐ ปีมันก็หมดอายุการใช้งานแล้ว ร่างกายของเรานี่มันจะหมดอายุการใช้งานข้างหน้า

“ในเมื่อร่างกายมันจะหมดอายุการใช้งานข้างหน้า ในปัจจุบันนี้ ถ้ามันยังพอใช้งานได้ เราใช้งานมัน แล้วใช้งานเก็บไว้เป็นหลักฐาน เพื่อประโยชน์ในอนาคต”

ไม่ใช่ว่าเราจะพูดอย่างนี้ให้ฟังไปได้ตลอดรอดฝั่งหรอก สักวันหนึ่งมันจะหมดอายุการใช้งาน พอหมดอายุการใช้งานแล้ว ก็จะมานั่ง เอ่อ มาเห็นหลวงพ่อแล้วก็กลับ เพราะหลวงพ่อพูดไม่ไหวแล้ว อนาคตต้องถึงเวลาต้องถึงตรงนั้นแน่นอน นี้พอถึงเวลานั้นแน่นอนแล้วนี่ ตรงนี้ไงที่เราพูดเมื่อกี้ กลับมาเรื่องหนังสือนี่ ถ้าเขามีวุฒิภาวะ เขามีคุณสมบัติที่เขาได้วิทยานิพนธ์ในชีวิตของเขา ที่เขาได้ประพฤติปฏิบัติแล้วนี่ เขาควรจะเก็บข้อมูลอย่างนี้ไว้เพื่อประโยชน์กับสังคมโลก

หลวงปู่มั่น ท่านบอกท่านเทศน์ หลวงตาท่านเล่าให้ฟัง หลวงปู่มั่น ก่อนที่ท่านจะปรินิพพานน่ะ

“หมู่คณะ ผมนี่สอนมาทั้งชีวิตนี่ หมู่คณะนี่คิดอะไรกันบ้างหรือเปล่า”

หลวงตาท่านบอก

“คิดๆ คิด คิดเต็มหัวอกเลยครับ คิดมาก คิดจะเก็บข้อมูลที่หลวงปู่มั่นสอน คิดจะทำสิ่งนี้ไว้เพื่อประโยชน์กับโลกนี่ แต่ปัจจุบันนี้งานของตัวเองมันยังเอาตัวไม่รอดน่ะ งานของตัวเองสำคัญกว่า”

หลวงปู่มั่นบอก “เออ ใช่ เอาตัวเองให้รอดก่อน”

มันเป็นเหมือนกับข้อสัญญากันไว้ ระหว่างหลวงปู่มั่นกับหลวงตา หลวงปู่มั่นท่านพูดอย่างนี้ หลวงตาก็รับปากไว้ไง “คิด คิดอยู่เต็มหัวอก ว่า คำสอน หรือสิ่งดำรงชีวิตของหลวงปู่มั่นนี่ จะจดจารึกไว้เป็นคติตัวอย่าง”

มันถึงมีปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐาน มันถึงมีประวัติหลวงปู่มั่นนี่ไง แล้วหลวงตาท่านพูดทุกทีเลย “เสียดายมากไม่มีเทป! เสียดายมากไม่มีเทป! เสียดายมาก!”

หลวงปู่มั่นนิพพานแล้ว วันเผาศพหลวงปู่มั่นที่วัดป่าสุทธาวาส เทปเครื่องยักษ์สมัยโบราณถึงได้มาเครื่องแรก มาต่อเมื่อหลวงปู่มั่นนิพพานแล้ว ถ้าเทปอย่างนั้นมาแล้ว หลวงปู่มั่นเทศน์ อัดใส่เทปไว้นะ เราจะมีบุญหู เราจะมีบุญได้ยิน เห็นไหม เราอยู่ในเหตุการณ์อย่างนี้มา เวลาที่พูดอยู่นี่ ที่พูดว่าเบื่อไหม “เบื่อฉิบหายเลย”

แต่ที่พูดนี่นะ ไม่ได้ฟังกันแค่นี้ พูดนี่นะถ้าไปลงอินเตอร์เน็ตมันไปรอบโลก ทำเพราะเหตุนั้น แล้วมั่นใจ แล้วมั่นใจว่า อย่างที่ โทษนะ พูดอย่างนี้เหมือนวัดรอยเท้า ไม่ใช่วัด เหมือนหลวงตาพูดน่ะ มั่นใจว่า

“สอนไม่ผิด”

มันมั่นใจว่า ถ้าผิดนะ กูไม่กล้าเอาอินเตอร์เน็ต กูออกรอบโลก เดี๋ยวเวลาเขาค้านมากูตอบไม่ได้ มั่นใจตั้งแต่อัดเทปมาตั้งแต่ครั้งแรก แล้วเทปตั้งแต่ครั้งแรกแล้วพูดมาจนถึงป่านนี้ ให้ใครชี้ผิด ชี้ถูกมาแล้วบอกว่าผิด แล้วให้มาหาเรา บอกว่าผิด แล้วเอามาหาเราเลยว่าเราสอนผิด มันถึงกล้าพูดไง แล้วกล้าเก็บข้อมูลนี้ไว้ แต่ถ้าเราไม่รู้จริงนะเราไม่กล้าทำเลย เพราะกลัวเขาจะมาถอนหงอก ไม่กล้า ไม่กล้า

เราคิดว่าพวกนั้นเขารู้ เขาถึงทำกันอย่างนี้ เขาไม่กล้าพูด ไม่กล้าทำ ไม่กล้าเอาความเห็นส่วนตัวออกมา เพื่อประโยชน์สังคมเลย ถ้าเขามีความจริงเขาต้องกล้าเอาสิ่งนี้ ออกมาพูดเพื่อประโยชน์ของสังคม

ดูหลวงตาท่านเสียดายหลวงปู่มั่นมาก เสียดายคำสอนที่ท่านไม่ได้อัดเทปไว้ นั้นท่านยังจำมา แล้วยังมาเขียนได้ ๒ เล่ม

ประวัติหลวงปู่มั่นเล่มหนึ่ง

ปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานอีกเล่มหนึ่ง

เป็นสัญญาไว้กับหลวงปู่มั่นแล้วท่านก็ได้ทำ อุตส่าห์ไปเรียนพิมพ์ดีดนะ พอเสร็จแล้วทิ้งหมดเลย ได้ทำตามสัญญาครบบริบูรณ์แล้ว แล้วเป็นการเชิดชูครูบาอาจารย์เราด้วย แล้วเป็นการรื้อฟื้นศาสนาด้วย

ศาสนาในวงปฏิบัติเมื่อก่อนไม่มีใครมั่นใจและไม่มีใครกล้ากระทำ พอครูบาอาจารย์ยืนยันว่าสิ่งนั้นมีจริงๆ เรามาอยู่ที่โพธารามใหม่ๆ แล้วเพื่อนๆ มาเยี่ยม เราเอาประวัติหลวงปู่มั่นให้เขาเอาไปอ่านกัน เขากลับมาหาเรานะ คนทำอย่างนี้ได้มีหรือ เป็นไปไม่ได้ ไม่เชี่อ!ๆ เพื่อนเราเอง ให้ประวัติหลวงปู่มั่นไปอ่าน เขาบอกว่าคนทำอย่างนี้ได้หรือ ไม่เชื่อ! ก็กรรมของมึง แต่เราเชื่อ เราเชื่อแล้วเราเอามาแจกเอง

เมื่อก่อนสมัยหลวงตาท่านแจกหนังสือใหม่ๆ เวลาเราไปบ้านตาดน่ะ เราจะเอามาทีเป็นปิคอัพๆ เลย ไปบ้านตาดนะเขาไปเอาลาภสักการะ เขาไปเอาของใช้กันนะ เราไปขนหนังสืออย่างเดียว เราไปขนหนังสือกับขนหนังสือจนพระมันรู้กันน่ะ เราไปนี่ ไปจอดที่โกดังเลย หนังสือกับหนังสือไม่มีอย่างอื่นเลย แล้วเราแจกอย่างเดียว

โพธารามนี่แจกอย่างเดียว เพราะประสาเรานี่ เรามั่นใจคำสอน คำเทศน์ของท่าน แล้วถ้าใครได้อ่าน เราว่ามันจะได้บุญมาก แต่มันอ่านเสร็จแล้วมันกลับมาบอกว่าไม่เชื่อเลยๆ ไม่เชื่อ เออ ปรารถนาดีกับเขา ทำดีขนาดนั้น แต่ก็ดีได้ประโยชน์เยอะ ทำไปแล้ว

พูดถึงว่า เบื่อไหม เวลามันเบื่อไม่เบื่อนี่ ดูอย่างหลวงปู่เจี๊ยะ หลวงปู่เจี๊ยะท่านพูดกับเรานี่

“หงบเอ้ย เรานี่เทศน์ไม่ค่อยออกเลยนะ” แต่มันดีอย่างเดียวนะ เวลาคำถาม ถ้าคำถามมันกระเทือนใจท่านนะ โอ้โฮ ไหลเลย

นี่ก็เหมือนกันเบื่อไหม เบื่อ แต่สังเกตได้ไหม เวลาพูดน่ะไปเรียบๆ แต่เวลามันกระเทือนใจ มันไปหมดเลย กระเทือนใจหมายถึง กระเทือนความรู้สึกอันนั้นน่ะ ออกเต็มที่เลย เบื่อ แต่ถ้ามันกระเทือน ประสาถ้าหลวงตาพูดกระเทือนธรรมะนี่ ไหลเลย ถ้าไหลนั่นน่ะแรงมาก แต่ไม่ได้นานหรอก

โดยธรรมชาติ เราเปรียบนะเพราะในชีวิตเราน่ะ เหมือนกับพวกครูนี่ใช้เสียงทั้งวันนี่เจ็บมาก พวกครูกับพวกนักร้อง นักร้องต้องถนอมเสียงมาก แล้วเรานี่ ตะบี้ตะบันมากี่ปีแล้ว แล้วต่อไปเสียงนี่มันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ เราจะบอกให้เลยนะ อายุการใช้งานของร่างกาย ของลำคอของหลอดเสียงมันไม่นานหรอก แต่เราตอนนี้ทำได้เราก็ทำไปเรื่อยๆ บางทีนะเจ็บมาก เจ็บมากก็ต้องอมยาๆ เดี๋ยวนี้ ทุกคนเข้ามา ต้องหล่อน้ำ ต้องหล่อน้ำ เอาน้ำจิบไว้ๆ นี่เพื่อใคร แต่ถ้าพูดถึงอยากอยู่คนเดียว อยู่คนเดียวนี่สบายมากเลย แต่สำหรับเรา พวกเรานี่อยู่ในวงการศาสนา เห็นไหม

เราดูสิ เราดูหนังสือดูเทศน์ครูบาอาจารย์ หลวงตานี่เราจะซึ้งไหม สะเทือนใจมาก แล้วจะมีคุณสมบัติมีเนื้อหาสาระอย่างนั้น ดูว่าจะมีสักเท่าไร นั้นถ้ามีแล้วเรายังเสียดายนะ เสียดายที่ไม่ได้อัดเทปมาตั้งแต่ปี ๓๐ (๒๕๓๐) มาเริ่มอัดเทปมาตั้งแต่ปี ๓๘ (๒๕๓๘) เกือบ ๑๐ ปีทิ้งไป

ถ้าได้ตรงนั้นมาด้วยนะมันจะสมบูรณ์ นี่มันลอยไปในอากาศไปแล้ว เพราะตอนนั้นไม่ได้อัด แล้วพอมาตอนนี้ ทุกคนก็มาท้วงมาติง คนที่เขาเห็นดีด้วยน่ะ เขาก็จัดให้ เขาหามาให้ เราก็เห็นด้วย เพื่อประโยชน์กับ.. อย่างที่ พระกัสสปะพูดไง พระพุทธเจ้าถามพระกัสสปะ

“กัสสปะเอย เธอก็อายุ ๘๐ ปานเรา ทำไมถึงต้องถือธุดงควัตรอย่างนี้ล่ะ”

พระอรหันต์ด้วยกัน พระกัสสปะ บอกว่า

“ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเพื่อข้าพเจ้าเลย ข้าพเจ้าทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง อนุชนรุ่นหลังเขาจะได้มีคติ มีแบบอย่างที่เขาจะได้ประพฤติปฏิบัติไป”

ทำเพื่ออนุชนรุ่นหลัง ทำเพื่อสิ่งที่เขาจะเดินตาม ไอ้ที่พูดๆ อยู่นี่ เราตายไปแล้วเสียงนี้ยังอยู่ เราตายไปแล้วนี่มันยังอยู่ แล้วอย่างไรถ้าใครไปฟังเห็นไหม อย่างที่หลวงตาว่าน่ะ ใครๆ ก็อยากจะเห็นตัวจริงๆ ไอ้นี่อนาคต ใครๆ ก็อยากไปดูเสือ ในกรงขังมันไว้ แล้วก็ไปดู ไปเห็นตัวจริงไง เอวัง!